หากอยู่ในวงการกฎหมาย เมื่อพูดถึงนักกฎหมายระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงในประเทศอาจนึกถึงคนจำนวนหนึ่งได้ แต่หากถามถึงนักกฎหมายระหว่างประเทศที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ‘สัณหวรรณ ศรีสด’ อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ชื่อ

ในช่วงเวลาที่สังคมไทยเต็มไปด้วยวาทกรรมที่ทำให้คำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ เป็นอื่น สัณหวรรณทำงานเพื่อยกระดับสิทธิมนุษยชนผ่านหลักนิติธรรม บทบาทของเธอไม่ได้นำเสนอเรื่องใหม่ของโลก แต่กำลังย้ำเตือนว่าสิทธิมนุษยชนอยู่รอบตัวเรามาตั้งแต่ต้น

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม พูดคุยกับสัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมาย คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists – ICJ) ถึงเส้นทางการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนกับเป้าหมายในการผลักดันแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงระยะยาว รวมถึงข้อท้าทายและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

ช่วงชีวิตหนึ่งที่ทำให้รู้จักงานด้านสิทธิมนุษยชน 

หากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน สัณหวรรณ เริ่มชีวิตการทำงานเร็วกว่าคนอื่นนั่นเป็นเพราะเธอเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6  พร้อมๆ กับเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำให้ชีวิตการทำงานเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุเพียงกำลังจะเข้าเลขยี่สิบ

ในสมัยที่สัณหวรรณยังเรียนอยู่มัธยมปลาย การเรียนพรีดีกรี (pre-degree)1พรีดีกรีเป็นการเรียนเพื่อสะสมหน่วยกิตในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยรามคำแหงล่วงหน้า โดยอนุญาตให้ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับม.ต้น(วุฒิ จบ ม.3 หรือ กศน.จบ ม.3) เป็นต้นไปมาสมัครเป็นนักศึกษาระดับพรีดีกรีได้ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นที่นิยมอย่างมาก สัณหวรรณจึงเลือกเรียนพรีดีกรี คณะนิติศาสตร์ ตามกระแสความนิยมเพราะเห็นว่าเป็นคณะที่มีชื่อเสียง

แม้จะเรียนอัดแน่นในสองปีแบบต้องท่องจำไปสอบ การเรียนตามตำราและต้องตอบตาม ธงของอาจารย์กลับไม่สามารถปิดจินตนาการของสัณหวรรณได้ สำหรับเธอเสน่ห์ของกฎหมายที่ได้สัมผัสจากการเรียนคืออิสระในการตีความกฎหมาย

“จริงๆ เป็นคนแปลกนิดหนึ่งคือตอนไปสอบจะชอบมาก เพราะรู้สึกว่าเวลาทำโจทย์กฎหมาย ข้อหนึ่งตีความได้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไร”

สัณหวรรณเริ่มเรียนนิติศาสตร์ส่วนหนึ่งตามกระแส แต่จริงๆ แล้วเธอมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือประสบการณ์จากการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศออสเตรียเป็นระยะเวลาหนึ่งปีขณะเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 

ออสเตรียเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลางระหว่างยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตก จึงกลายเป็นทางผ่านของคนจากฝั่งยุโรปตะวันออกที่เดินทางไปยังยุโรปตะวันตก รวมถึงคนที่ลี้ภัยและอพยพเข้ามายังยุโรปตะวันออกและต้องการเข้าสู่ฝั่งตะวันตก ครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Family) ของสัณหวรรณทำงานสนับสนุนความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยที่เข้ามายังประเทศออสเตรีย เช่นการดูแลจัดหาที่พัก หรือการจัดการเรื่องการคุ้มครองชั่วคราว (Temporary Protection) ก่อนจะไปยังที่อื่นๆ 

นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้สัณหวรรณรู้จักคำว่าผู้ลี้ภัยและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในมุมมองของประเทศที่รองรับผู้ลี้ภัย ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้สัณหวรรณสนใจเรียนนิติศาสตร์ทันทีที่กลับมาและเป็นเหตุผลให้เธอเลือกงานด้านผู้ลี้ภัยเป็นงานแรกหลังเรียนจบ 

สัณหวรรณเริ่มทำงานด้านผู้ลี้ภัย ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโท เอกกฎหมายสงครามควบคู่กับกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ Leiden University ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อจบปริญญาโทจึงกลับมาทำงานในประเด็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เรื่องการตอบสนองต่อประเด็นการค้ามนุษย์ ก่อนจะทำงานด้านมนุษยธรรมกับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ที่จังหวัดปัตตานี ทุกงานนำสัณหวรรณมาสู่งานปัจจุบันที่คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ซึ่งเป็นงานที่ทำให้สัณหวรรณมุ่งผลักดันด้านสิทธิมนุษยชนเต็มตัวมาอย่างต่อเนื่องกว่า 9 ปีแล้ว ประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายช่วยหล่อหลอมให้เธอเป็นนักกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมุมมองครอบคลุม

“งานทั้งหมดมันสนับสนุนกัน รู้สึกขอบคุณที่ตัวเองเคยทำงานสายผู้ลี้ภัย เราเข้าใจมุมของงานผู้ลี้ภัย เคยทำสายมนุษยธรรมมา เราเข้าใจงานของมุมมนุษยธรรม ก่อนมาทำสิทธิมนุษยชน มันสนับสนุนกัน”

สิทธิมนุษยชน คือ เรา

‘กฎหมายระหว่างประเทศ’ ‘หลักการสากล’ ‘สิทธิมนุษยชน’ เป็นชุดคำศัพท์ที่อาจผลักใครหลายๆ คนออกไปได้โดยง่าย อาจเพราะฟังดูไกลตัว เป็นนามธรรม เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นความเป็นสากลที่มาจากอีกซีกโลก เป็นภัยกับตัวตนความเป็นไทย หรืออีกหลายเหตุผลที่ทุกคนต่างมี

ในวันที่มีแนวคิดเช่นนี้อยู่มากมาย การทำงานเป็นนักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่สัณหวรรณมองว่าเธอไม่ได้พูดเรื่องใหม่หรือเรื่องที่ไกลตัว บทบาทของนักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเธอคือการ ‘ย้ำเตือน’ เจตนารมณ์เดิมของประเทศนี้เท่านั้น

“เวลาพูดถึงสิทธิมนุษยชน จริงๆ มีที่มาจากกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่เราไม่รู้ตัว ถ้าถามถึงกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศลักษณะเป็นอย่างไร มันก็หน้าตาเหมือนรัฐธรรมนูญไทยที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิและเสรีภาพ” 

สัณหวรรณอธิบายว่าหลักการสิทธิมนุษยชนแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเกิดมาจากกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่กลายมาเป็นที่มาในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยในรัฐธรรมนูญ หน้าตาของกฎหมายทั้งสองจึงคล้ายคลึงกัน โดยสิทธิมนุษยชนพูดถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทุกคนอย่างใกล้ชิดในแบบที่อาจคาดไม่ถึง

“กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดสิทธิมนุษยชนซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรา มันพูดถึงน้ำที่ดื่มต้องสะอาด เดินไปเราไม่ควรจะต้องเจอฝุ่น เป็นสิทธิในสุขภาพ เราควรมีสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดี แม้กระทั่งการที่เราใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ก็เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน เรามีสิทธิที่จะพูด เรามีสิทธิที่จะเขียน เราอยากโพสต์อะไรก็โพสต์ได้”

สัณหวรรณย้ำว่าสิทธิมนุษยชนยังรวมถึงสิทธิในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆวัน ไม่ใช่ย่ำอยู่ที่เดิม  

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งควรได้รับความคุ้มครองอะไรบ้าง คือคำถามที่สิทธิมนุษยชนและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศต้องการจะตอบ สัณหวรรณอธิบายโดยยกตัวอย่างการมองกรณีปัญหาผู้ลี้ภัย

การมองมุมมองของผู้ลี้ภัย ไม่ใช่มองเรื่องการให้สถานะ เรื่องการลี้ภัยไปประเทศที่สาม เรื่องการกลับอย่างสมัครใจ หรือเรื่องการผสมกลมกลืนในพื้นที่เท่านั้น อันนี้เป็นวิธีแก้ปัญหาภายใต้กฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ แต่ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนมีวิธีแก้ที่มากกว่านั้น อย่างน้อยในฐานะมนุษย์มันมีทางออกอะไรสำหรับเขาบ้าง หากมองด้วยมุมสิทธิมนุษยชนก็จะมองได้กว้างกว่าและมีเครื่องมือมากกว่า”

แม้สิทธิมนุษยชนกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจะดูใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับเรามากแค่ไหนก็ตาม แต่คนกลุ่มหนึ่งยังคงผลักสิ่งเหล่านี้ออกจากตัว จะด้วยความไม่รู้ ความกลัว หรือความเข้าใจผิดก็ตาม  และหากพูดถึงแรงเสียดทานอาจนึกถึงประโยคคุ้นตาบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่าง ‘UN ไม่ใช่พ่อ’ ที่มักจะปรากฏเมื่อมีการเผยแพร่ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติ (UN) ต่อสถานการณ์ในประเทศไทย หรือสารใดๆ ที่พูดถึงสิทธิมนุษยชนและกลไกระหว่างประเทศ 

ในทางหนึ่งนั่นอาจเป็นการตั้งคำถามที่เป็นไปตามปกติ หากจะรับฟังใครคนหนึ่ง ย่อมต้องคำนึงว่าคนคนนั้นเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องฟัง โดยเฉพาะกับเรื่องที่สำคัญอย่างชีวิตคนและสังคม

“UN ไม่ใช่พ่อจริงๆ นั่นแหละ จริงๆ เราไม่ได้ฟัง UN นะ แต่เราฟังกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่เราไปผูกพันต่างหาก เราฟังจารีตประเพณีต่างหาก”

สัณหวรรณอธิบายว่าแท้จริงแล้วการตีความกฎหมายระหว่างประเทศ การให้รายละเอียดและการให้คำอธิบายมาจากหน่วยงานที่องค์การสหประชาชาติสนับสนุนการทำงาน แต่ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานอิสระทั้งหมด เช่นการตั้งหน่วยงานอิสระเหล่านี้ขึ้นมาตามสนธิสัญญาต่างๆ แต่เวลาอธิบายต่อสังคมทั่วไปอาจทำให้ยิ่งซับซ้อนและเข้าใจยาก หากเจาะจงไปยังหน่วยงานรายย่อยต่างๆ จึงมักปรากฏเพียงว่าคำอธิบายนี้มาจากองค์การสหประชาชาติ 

นอกจากนี้ แท้จริงแล้วในเนื้อหาคำอธิบายเหล่านี้ได้อธิบายความผูกพันที่ประเทศไทยไปลงนามผูกมัดตนไว้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ หรือในบางกรณีอาจไม่ได้เป็นการลงนามในสนธิสัญญาใด แต่เป็นจารีตระหว่างประเทศที่ผูกพันมนุษย์ทุกคนตั้งแต่ต้น สัณหวรรณยกตัวอย่างถึงสิทธิของทุกคนในการมีชีวิต แม้จะไม่มีการลงนามในสนธิสัญญาใดๆ ก็ใช่ว่าจะมีใครไปฆ่าใครได้ 

“สิทธิมนุษยชนตัวนี้มันเป็นจารีตระหว่างประเทศ คือ ต่อให้คุณไม่ไปเซ็นในสนธิสัญญาอะไรเลยว่าคุณจะคุ้มครองชีวิตคน คุณก็ต้องคุ้มครองชีวิตคนอยู่ดี ดังนั้น ก็อาจจะใช่ UN ไม่ใช่พ่อ แต่สิ่งที่เขาพูด เขาไม่ได้พูดโดยออกมาจากเขา แต่ออกมาจากพันธกรณีที่เราเองไปผูกพัน ไปสัญญาไว้ เหมือนการที่เขาย้ำเตือนให้ทบทวนในสิ่งที่เราผูกพัน”

จากกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สู่หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยในรัฐธรรมนูญ สิทธิมนุษยชนเป็นรากฐานและที่มาของส่วนหนึ่งของกฎหมายไทย เป็นเจตจำนงและกติการ่วมในฐานะคนไทย และที่สำคัญในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  

บทบาทนักกฎหมายระหว่างประเทศกับการผลักดันแก้ไขกฎหมาย

สัณหวรรณเล่าว่าภารกิจของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลในประเทศไทย คือการนำกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยได้เข้าเป็นภาคีมาทำให้เกิดการปฏิบัติจริง เนื่องจากประเทศไทยมีประเด็นสิทธิมนุษยชนค่อนข้างชัด และเป็นภาคีในอนุสัญญาต่างๆ ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอยู่หลายฉบับ ในขณะที่การทำงานในบริบทของประเทศอื่นๆ อาจต่างออกไปตามสถานการณ์ เช่น การทำงานกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ 

จากประสบการณ์การทำงานเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สัณหวรรณพบว่า หากรัฐมีความเต็มใจ (Willingness) การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมสามารถเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงมองว่าในทางหนึ่งหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระยะยาวในระดับบุคคล หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคุยกับรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่องนโยบาย เพราะไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะดำเนินการเช่นไร ย่อมส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของคนทั่วไปอย่างถ้วนหน้า

ปัญหาหนึ่งที่สัณหวรรณพบ คือ แม้รัฐธรรมนูญไทยหมวดสิทธิและเสรีภาพจะนำเนื้อหาส่วนมากมาจากกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่เมื่อออกกฎหมายลูก หลักการที่อยู่ในรัฐธรรมนูญหลายประการกลับถูกทิ้งหายไปกลางทาง

“กฎหมายให้สิทธิ และมีข้อยกเว้นของการจำกัดสิทธิก็จริง แต่การจำกัดสิทธินั้นไม่ควรจะเกินไปกว่าสิ่งที่ควรทำได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เลยคิดว่าถ้าอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระยะยาว ก็ยังจะต้องผลักดันในเรื่องกฎหมายและการแก้กฎหมายอยู่”

โดยปกติเมื่อประเทศหนึ่งลงนามในกฎหมายสิทธิมนุษยชนฉบับใด ย่อมมีความผูกพันที่จะต้องทำให้กฎหมายภายในประเทศสอดคล้อง หลายครั้งประเทศไทยมีการออกกฎหมายภายใน และยืมคำบางส่วนมาจากกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามกฎหมายภายในกลับยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชน 

“หากดูพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ถ้อยคำข้างในกฎหมายฉบับนี้เอามาจากรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญเราเอาถ้อยคำมาจากกฎหมายระหว่างประเทศที่เราไปลงนาม อย่างคำว่า “เพื่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี” เหล่านี้มาจากกฎหมายระหว่างประเทศ ในรัฐธรรมนูญเรานำถ้อยคำมา กฎหมายภายในก็เอามาใช้อีก แต่พวกบทข้อยกเว้นและการจำกัดสิทธิ มันตีความเกินไปกว่าตัวกฎหมายแม่ ไม่ได้สอดคล้องกับกฎหมายที่เป็นที่มาเริ่มแรก และมันจำกัดสิทธิมากขึ้น”

สำหรับบริบทประเทศไทยเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมุ่งปฏิบัติตามกฎหมายที่อยู่ในมืออย่างกฎหมายภายใน ดังนั้นในบางครั้งการนำกฎหมายระหว่างประเทศมาปฏิบัติจริงอาจเป็นไปได้ยากหากไม่แก้ไขต้นตอ คือ กฎหมายภายในประเทศที่ยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

ในมุมการทำงานขององค์กรที่พูดถึงตัวบทกฎหมาย สัณหวรรณมองว่าความคิดเห็นขัดแย้งเป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอตลอดเวลา โดยสาเหตุหลักมาจากการมีวิธีการมองที่ต่างกัน

“บางคนอาจมองจากประสบการณ์ เขาคิดว่าแบบนี้ไม่ได้ อย่างเรื่องการตั้งสหภาพแรงงานที่มีเรื่องของแรงงานข้ามชาติ ประเด็นนี้มีทั้งกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีกฎหมายหลายฉบับที่พูดถึง แต่ก็มีเหมือนกันที่เจ้าหน้าที่มองว่าจากประสบการณ์เขาคิดว่าไม่ควร เพราะเป็นปัญหาด้านความมั่นคง เป็นการตีความด้านความมั่นคงของเขา แต่อย่างในกฎหมายภายในประเทศเราก็มีการตีความด้านความมั่นคงของเราตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศที่ถูกตีความเอาไว้แล้ว ซึ่งมันก็ยังไม่ตรงกัน”

ในระหว่างการทำงานสัณหวรรณยังได้เจอเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากที่เห็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรม เข้าใจและสนับสนุนในหลักการสิทธิมนุษยชน และหากเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค สัณหวรรณคิดว่าประเทศไทยค่อนข้างมีความหวังในบางหัวข้อ  และค่อนข้างก้าวหน้าในการพยายามสร้างกฎหมายใหม่ๆ และปรับปรุงแก้ไข 

ความก้าวหน้าล่าสุดประการหนึ่งของประเทศไทยในสังคมโลก คือ เมื่อวันที่ 5 – 6 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เข้าร่วมการทบทวนรายงานสถานการณ์ทรมานและการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของประเทศไทย อันเป็นการประชุมที่เป็นไปตามตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ไทยเข้าเป็นภาคีตั้งแต่ปี 2550 

การทบทวนสถานการณ์ทรมานฯ ในรอบนี้นับเป็นครั้งที่สอง ของประเทศไทยในรอบสิบปีนับแต่การทบทวนครั้งแรกเมื่อปี 2557   สัณหวรรณได้ร่วมส่งรายงานคู่ขนานและได้เข้าร่วมเข้าฟังการทบทวนที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 81 ณ กรุงเจนีวา 

เมื่อถามถึงความเห็นต่อการทบทวนสถานการณ์การทรมานฯ ในครั้งนี้ สัณหวรรณมองว่าหากเทียบกับการทบทวนรอบแรกถือว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากขึ้นเพราะมีการออกกฎหมายภายในประเทศอย่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แม้จะมีปัญหาในทางปฏิบัติ

ในภาพรวม ประเทศไทยได้รับความเห็นและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการ CAT ในสองส่วน ส่วนแรกคือเนื้อหาในกฎหมายฉบับใหม่ที่คณะกรรมการฯ เสนอแนะให้ปรับแก้เพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น และให้สอดคล้องกับอนุสัญญา CAT มากขึ้น ในส่วนที่สองเป็นเรื่องของการปฏิบัติ โดยพบว่าการปฏิบัติยังมีปัญหา โดยเฉพาะการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ 

“เรื่องปัญหาการปฏิบัติที่ได้คอมเมนต์มา หนึ่งในนั้นคือปัญหาอย่างยาวนานในเรื่องการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งก็ยังเป็น challange มาตั้งแต่สิบปีก่อน”

“ถ้ามีรอบหน้าก็อยากไปนำเสนอเขาว่าเราสามารถดำเนินคดีได้ขนาดไหน เราดำเนินการกับข้อร้องเรียนได้ดีขึ้นขนาดไหน  อยากให้ส่วนปฏิบัติมีอะไรดี positive ออกไปบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เรื่องกฎหมายก็ต้องพยายามผลักดันให้เกิดการแก้ไข ปิดช่องว่างกันไปด้วย” 

‘Free Spirit’ เมื่อมีก้าวแรก ไม่มีถอยหลังกลับ

สำหรับสัณหวรรณ หากเริ่มทำงานในวงการด้านสิทธิมนุษยชนเป็นงานแรกก็ยากที่จะออกจากวงการนี้ 

“การทำงานสิทธิมันเป็นการแสดงออกในสิ่งที่เรารู้สึกว่านี่คือสามัญสำนึก (common sense) นี่คือธรรมชาติ มีคนถามว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องของธรรมชาติหรือเป็นเรื่องของ man-made ซึ่งก็ยังเถียงกันอยู่ทุกวัน แต่เรารู้สึกว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งควรมีสิทธิอะไรบ้าง เป็นอะไรที่ undisputed คือถามทุกคนก็น่าจะตอบว่าฉันอยากมีสิทธิอย่างนี้ในชีวิต”

แม้สัณหวรรณจะเคยทดลองถอยออกจากวงการสิทธิมนุษยชน และเข้าสู่การทำงานในบริษัทเอกชนอย่างลอว์เฟิร์ม (law firm) อยู่ระยะเวลาหนึ่ง แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้นาน  แม้รู้ดีว่าเป็นเส้นทางที่ดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนในระยะยาว 

“พอไปทำงาน law firm มันจะคนละแบบแล้ว จะมีธงไว้ก่อนแล้วเราค่อยไปนั่งวางๆ ให้เข้าไปที่ธง เป็น man made ตามธง”

“ไม่ได้รู้สึก free spirit เท่าตอนทำงาน refugee ที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ขัดกับ value เราเลย เรารู้สึกว่าการที่เราตื่นมาทำงานทุกวันมันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ได้ช่วยอะไรใครอยู่ตลอดเวลา แต่พอทำงาน corporate ความคิดจะอีกแบบหนึ่ง ตื่นแต่เช้าหาเงินให้คนอื่น เหนื่อยมากแต่หาเงินให้คนอื่น อย่าง NGO เหนื่อยมากแต่เราไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกว่าเราเหนื่อยมากแต่มันมีอะไร payback กลับมา อาจช่วยอะไรคนอื่นได้ แม้แต่เล็กน้อยก็ยังดี มันไม่เหมือนกัน”

ความภูมิใจของสัณหวรรณในการทำงานคือการได้ช่วยองค์กรภาคประชาสังคมโดยใช้ความเชี่ยวชาญของตนในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศส่งเสริมการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  

หลายครั้งสัณหวรรณพบภาคประชาสังคมที่ทำงานดีมาก มีการเก็บข้อมูลอย่างดี แต่กลับพบข้อท้าทายในการนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้เข้มแข็ง เธอมองว่าหากมีการเสริมเนื้อหาด้วยกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจะสามารถอุดช่องว่างในส่วนนี้ได้

“เราจะเติมประเด็นกฎหมายว่าจริงๆ กฎหมายตัวนี้ควรจะพัฒนาไปทางไหน ขัดหรือไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร เพื่อให้การรณรงค์ของเขาเข้มแข็งขึ้น เพราะมันมีทั้งปัญหาที่เขาเจอในทางปฏิบัติ ปัญหาที่เจอจากการใช้กฎหมาย และเราก็เติมไปได้ว่าข้อเสนอแนะ กฎหมายนี้ควรจะไปในมุมไหน การผลักดันก็จะเข้มแข็งขึ้น คิดว่าภูมิใจทุกครั้งเวลาเขียนเสร็จและเวลาได้ไปช่วย” 

การทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเจอกับความผิดหวัง ความรู้สึกท้อแท้ และแรงเสียดทานอย่างนับครั้งไม่ถ้วน หลายคนไม่เชื่อว่าการสร้างสังคมและโลกที่น่าอยู่จะเกิดขึ้นได้จริง และนั่นเป็นสาเหตุให้คนจำนวนหนึ่งมองว่าคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง เป็นสาเหตุให้คนทำงานด้านสิทธิมักถูกโจมตีด้วยคำว่า ‘โลกสวย’ 

“ทุกวันนี้ก็คิดว่าเป็นคนโลกสวยจริง แต่ก็งงว่าแล้วโลกสวยไม่ดีตรงไหน ทำไมคำว่าโลกสวยกลายเป็นคำด่าได้ คือ คนเรามองโลกในแง่ดีก็อยากให้หลายๆ คนมองโลกในแง่ดี เอื้อเฟื้อต่อกัน มันผิดตรงไหน ดังนั้นจริงๆ เวลาที่เจอเลยเฉยๆ เป็นคำชมได้ โลกสวยไม่ดีตรงไหนในความรู้สึกเรา”

สัณหวรรณกำลังทำงานในสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปได้ยากแม้จะเป็นเรื่องที่ดียิ่ง 

แต่แล้วการลงมือทำมันไม่น่าชื่นชมหรือ

Author

  • นักเขียนฝึกหัด นักเรียนกฎหมาย และเป็ดที่ทำได้ทุกอย่าง ติดแกลมแต่มีความฝันอยากเป็นนักเล่าเรื่องและนักกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

    View all posts
  • 1
    พรีดีกรีเป็นการเรียนเพื่อสะสมหน่วยกิตในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยรามคำแหงล่วงหน้า โดยอนุญาตให้ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับม.ต้น(วุฒิ จบ ม.3 หรือ กศน.จบ ม.3) เป็นต้นไปมาสมัครเป็นนักศึกษาระดับพรีดีกรีได้