แถลงการณ์ ขอเรียกร้องให้รัฐไทยไม่ส่งกลับ ‘อี ควิน เบดั๊บ’ ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ไปเผชิญอันตราย CrCF ชี้ ประเทศไทยอาจละเมิด ม. 13 พ.ร.บ.ทรมานฯ และหลักการห้ามผลักดันกลับ
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2568) เวลา 14.00 น. ศาลอุทธรณ์อ่านคําพิพากษาคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายอี ควิน เบดั๊บ (Mr. Y Quynh Bdap) ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา หมายเลขคดีแดงที่ ผด.9/2567 โดยศาลมีคำสั่งยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ส่งกลับนายอี ควิน เบดั๊บ ไปยังประเทศเวียดนาม

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าแม้ประเทศไทยจะไม่มีอนุสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่ศาลสามารถให้ความร่วมมือตามหลักการต่างตอบแทนได้ และศาลยอมรับข้อเท็จจริงอีกว่า อี ควิน เบดั๊บ มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยภายใต้การคุ้มครองตามหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ดี ศาลเห็นว่าศาลไม่สามารถก้าวล่วงการพิจารณาพิพากษาของศาลเวียดนาม ศาลพิจารณาเพียงว่าความผิดซึ่งถูกร้องขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนนั้นเป็นความผิดที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ โดยไม่พิจารณาถึงกฎหมายวิธีสาระบัญญัติ หรือวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศผู้ร้อง ซึ่งในคดีนี้ อี ควิน เบดั๊บ ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายและต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี ไม่ใช่ความผิดที่ไม่เกี่ยวกับคดีการเมืองและทางการทหาร อีกทั้งศาลไม่เชื่อว่าหากอี ควิน เบดั๊บ ถูกส่งกลับไปแล้วจะเผชิญภยันตรายหรือถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตาม พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานว่าระหว่างที่อี ควิน เบดั๊บ ถูกควบคุมตัวที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามนั้นถูกทำร้าย ข่มขู่ อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามได้รับรองความปลอดภัย ซึ่งมีความน่าเชื่อถือว่าเมื่อส่งกลับจะไม่อยู่ในอันตราย ถูกกระทำโหดร้าย หรือสูญ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 กำหนดว่า ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และรัฐบาลไทยพิจารณาให้ส่งบุคคลนั้นแล้ว จึงจะเข้าสู่กระบวนการส่งตามขั้นตอน ดังนี้หากรัฐบาลไทยไม่พิจารณาให้ส่งภายใน 90 วัน ตามมาตรา 20 ก็ให้ปล่อยบุคคลนั้นได้ ซึ่งตามกฎกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ฉบับ พ.ศ. 2553 ได้ระบุไว้ด้วยว่า ข้อ 7 (2) วรรคท้าย “ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า คำร้องขอดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือมีเหตุผลอื่นที่ไม่อาจดำเนินการให้ได้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็นนั้นพร้อมคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว”
“ขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้พิจารณาเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชนและภาพลักษณ์ของไทยในเวทีประชาคมระหว่างประเทศ เพราะประเทศไทยอาจถูกมองได้ว่าร่วมมือกับรัฐบางประเทศในการบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัย ที่ขัดกับหลักการสากล จารีตประเพณี และกฎหมายไทยเองอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งชาวอุยกูร์ 40 ราย กลับประเทศจีนไปโดยไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์จากทุกฝ่าย การไม่ส่งกลับนายอี ควิน เบดั๊บ จะทำให้รัฐบาลไทยมีความภาคภูมิสมศักดิ์ศรีในการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ” พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าว
แม้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ของไทยนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตามมาตรา 13 ที่ห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกทรมาน ปฏิบัติที่โหดร้ายฯ หรืออุ้มหาย อีกทั้งยังมีหลักการห้ามผลักดันกลับ (Non-Refoulement) ที่เป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ผูกพันรัฐทุกรัฐในโลก การตัดสินใจเรื่องการไม่ส่งกลับนายอี ควิน เบดั๊บ ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนที่ประชาคมระหว่างประเทศยังคงให้ความเชื่อมั่นได้
นายอี ควิน เบดั๊บ (Mr. Y Quynh Bdap) นักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาชาวเวียดนาม อายุ 32 ปี ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เป็นแกนนำเรียกร้องสิทธิเสรีภาพการนับถือศาสนาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ถูกรัฐบาลเวียดนามตั้งข้อหาก่อการร้ายจากเหตุจลาจลเมื่อปี 2567 ทว่าเขาให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว และอ้างว่าการเคลื่อนไหวด้านสิทธิของเขาเป็นการกระทำโดยสงบและไม่มีความรุนแรง
อี ควิน เบดั๊บ ลี้ภัยมายังประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561 และได้รับสถานะผู้ลี้ภัย และการคุ้มครองระหว่างประเทศจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees – UNHCR) ต่อมา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 นายเบดั๊บถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจับกุม โดยอ้างว่ามีคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและศาลในประเทศเวียดนามมีคำพิพากษาลงโทษนายเบดั๊บฐานก่อการร้ายจากเหตุจลาจลเมื่อปี 2566 ในจังหวัดดั๊กลัก
อย่างไรก็ตาม คดีที่นายเบดั๊บตกเป็นจำเลยมีการดำเนินการพิจารณาลับหลังจำเลยในรูปแบบศาลเคลื่อนที่ หรือ “Mobile Court” ร่วมกับจำเลยคนอื่นๆ อีก 99 คน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าเป็นรูปแบบศาลที่ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายที่ชัดเจน และไม่ได้เป็นอิสระจากอิทธิพลการเมือง
“มันเป็นเครื่องมือที่มีอคติ ใช้ประจานจำเลยโดยรวม โดยไม่ประเมินความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลอย่างเหมาะสม ข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้ายคลุมเครือและกว้างเกินไป การพิจารณาคดีไม่เป็นธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ” ผู้เชี่ยวชาญองค์การสหประชาชาติกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญและกลไกพิเศษของสหประชาชาติได้แสดงความกังวลต่อความเสี่ยงในการส่งกลับนายเบดั๊บไว้เมื่อ 16 ตุลาคม 2567 ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ขังนายเบดั๊บเพื่อรอการส่งกลับในเดือนกันยายน โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า หากมีการส่งกลับ นายเบดั๊บจะตกอยู่ในอันตรายจากการเผชิญการทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย หรือการอุ้มหาย ซึ่งขัดต่อหลักการห้ามผลักดันกลับอันเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทุกรัฐ
นอกจากนี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอช (Human Rights Watch) ปี 2567ได้มีรายงานว่าประเทศเวียดนามมักจะกดขี่และปราบปรามประชาชนที่แสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมือง การรวมกลุ่มและการสมาคมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการกดขี่ผู้นับถือศาสนาตามความเชื่อของตน หากนายเบดั๊บ ถูกส่งกลับไปรับโทษในคดีทางการเมืองที่เรือนจำในประเทศเวียดนาม ตามที่ระบุไว้ในคำขอของอัยการไทยที่ดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการประเทศเวียดนาม ก็จะส่งผลให้นายเบดั๊บมีความเสี่ยงต่อการถูกทรมานและปฏิบัติไร้มนุษยธรรม ตามที่มีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรือนจำแห่งนี้และอีกหลายๆ แห่งในเวียดนาม
กรณีของอี ควิน เบดั๊บ เป็นหนึ่งในการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เรียกว่า การปราบปรามข้ามชาติ (Transnational Repression) ซึ่งหมายถึง การที่รัฐใช้อำนาจคุกคาม ควบคุม หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้เห็นต่าง นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้ลี้ภัย ไปจนถึงสื่อมวลที่อยู่นอกรัฐของตน เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ เครื่องมือทางกฎหมาย การข่าว และกลไกความมั่นคง โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการปราบปรามข้ามชาติ
เกิดขึ้นมากอย่างยาวนาน รูปแบบการปราบปรามที่พบบ่อย เช่น การติดตามคุกคาม การบังคับส่งกลับโดยไม่พิจารณากระบวนการลี้ภัย การกระทำให้บุคคลสูญหาย การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม หรือการใช้กฎหมายข้ามพรมแดนในทางมิชอบ
ในกรณีระหว่างไทยและเวียดนาม นอกจากกรณีนายเบดั๊บ ยังมีรายงานว่าผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยสามคน ได้แก่ นายสยาม ธีรวุฒิ, นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และนายกฤษณะ ทัพไทย ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ประเทศเวียดนาม รวมถึงกรณีผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามถูกส่งกลับจากประเทศไทยโดยมิชอบ เช่น นายดวง วาน ไถ (Duong Van Thai) ในปี 2567 และนายจวง ดุย ญัต (Truong Duy Nhat) ในปี 2562 ซึ่งชุมชนผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามได้รายงานว่าพบเห็นเจ้าหน้าที่รัฐเวียดนามเข้ามาติดตาม สอดส่อง และคุกคาม และบังคับให้สูญหายผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รวมไปถึงการส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คน กลับไปยังประเทศจีนเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ 2568 ที่ผ่านมาซึ่งทำให้ไทยถูกนานาประเทศวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำงานด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน จึงขอเรียกร้องให้ทางการไทยพิจารณาข้อเสนอแนะ ดังนี้
- กรณีเบดั๊บเป็นกรณีที่เชื่อได้อย่างเพียงพอว่าหากถูกส่งกลับเขาจะตกอยู่ในอันตรายจากการถูกทรมานฯ ทางการไทยต้องไม่ส่งตัวนายอี ควิน เบดั๊บ ให้กับทางการเวียดนาม ตามหลักการไม่ส่งกลับ และมาตรา 13 ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้สูญหาย พ.ศ. 2565
- ประสานงานกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ในการส่งตัวนายอี ควิน เบดั๊บ ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ตามที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้ในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2566 ว่าจะขยายความร่วมมือกับประเทศที่สามในการหาทางออกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ลี้ภัยกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทย
- ขอให้รัฐไทยยุติการส่งกลับนายเบดั๊บและเคารพหลักการห้ามผลักดันกลับไปเผชิญอันตราย(Non-refoulement) ซึ่งเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ที่มีผลผูกพันรัฐไทยให้มีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน อย่างเสมอภาคเท่าเทียม
แถลง ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

![[PR]อัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม กรณียุติการสืบสวนเหตุชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกอุ้มหาย – ฆาตกรรม](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/24-12-68-1-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลกัมพูชาสั่งยุติการสอบสวนกรณีการบังคับสูญหาย “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/23-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ลงโทษจำคุก 1 ปี ครูฝึก 2 นาย กรณีพลทหารกิตติธร เสียชีวิตหลังเข้ารับการฝึกเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/18-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 5 นัดฟังคำพิพากษา กรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตหลังฝึกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/17-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]คืบหน้า! รมต. ยุติธรรมรับทราบกรณีส่งกลับ “อี ควิน เบดั๊บ” มอบหมายกรมคุ้มครองสิทธิฯ ดำเนินการต่อ](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/15-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)