จะเกิดอะไรขึ้น หากวันหนึ่งสิ่งของในชีวิตประจำวันค่อยๆ ทยอยหายไปจากความทรงจำของเรา และการพยายามจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับของเหล่านั้น กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และต้องได้รับโทษถึงชีวิต?

พล็อตเรื่องจากจินตนาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนวนิยายเรื่อง “ความจำที่สาบสูญ” (The Memory Police) โดยโยโกะ โอกาวา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1994 บอกเล่าเรื่องราวบนเกาะแห่งหนึ่ง ที่ความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ ทยอยสูญหายไปทีละนิด จนกระทั่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงทั้งต่อตัวบุคคลและสังคม ขณะที่ผู้ที่มีความทรงจำหรือพยายามเก็บรักษาความทรงจำเหล่านั้นจะถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และต้องถูกกำจัดโดยเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า “ตำรวจกุมความลับ”

ความทรงจำกับอำนาจรัฐ

“การตามจับความทรงจำ” ทั้งการจับกุมผู้ที่มีความทรงจำหลงเหลืออยู่ และการกำจัดหลักฐานที่เกี่ยวโยงกับสิ่งของที่หายไป เป็นภารกิจหลักของตำรวจกุมความลับ ซึ่งตลอดเรื่อง การตามจับความทรงจำจะเกิดขึ้นตลอดเวลา จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มความถี่และความเข้มข้นในการตรวจจับ จากการควบคุมตัวอย่างลับๆ ในเวลากลางคืน พัฒนาไปสู่การจับกุมต่อหน้าสาธารณชนในเวลากลางวัน รวมทั้งยังเป็นการจับกุมโดยไม่มีหมายจับแต่อย่างใด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้ที่มีความทรงจำถูกจับกุมตัวไปที่ไหน เพื่อไปทำอะไร และหลายคนกลับมาเพียงร่างไร้วิญญาณ

การควบคุมความทรงจำถือเป็นการแสดงอำนาจขั้นสูงสุดของรัฐ เพราะไม่เพียงแต่เปิดช่องทางให้รัฐเข้าควบคุมปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การกำหนดความคิดและตัวตนของประชาชนได้ในทุกอณู นอกจากนี้ การพยายามควบคุมความทรงจำอย่างเข้มข้น ในอีกด้านหนึ่งยังสะท้อนให้เห็นว่า ความทรงจำนั้นมีพลังมหาศาล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวตน คลังความรู้ และเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งหากไม่ควบคุมให้ดี ก็อาจสั่นคลอนอำนาจของชนชั้นปกครองได้ เพราะฉะนั้น การจับกุมผู้ที่มีความทรงจำจึงหมายถึงการธำรงรักษาอำนาจของรัฐไว้นั่นเอง

ประชากรส่วนใหญ่บนเกาะเป็นกลุ่มที่ไม่มีความทรงจำ ในขณะที่ผู้ที่มีความทรงจำนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย และต้องอยู่อย่างหลบซ่อน เพื่อไม่ให้ถูกตำรวจกุมความลับจับตัวไป ทำให้สภาพสังคมบนเกาะนั้นเต็มไปด้วยความเฉยชา การใช้ชีวิตไปวันๆ เมื่อมีสิ่งใดหายไปจากความทรงจำ พวกเขาก็เพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยเชื่อว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง สำหรับพวกเขา การหลงลืมไม่ใช่ความทุกข์ แต่ความทุกข์คือการจดจำสิ่งต่างๆ ได้และถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวไป

แม้ว่าคนบนเกาะจะหลงลืมสิ่งของต่างๆ และสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างง่ายดาย แต่การหายไปของความทรงจำกลับสร้าง “โพรงกลวง” ในจิตใจของผู้คนบนเกาะ และโพรงเหล่านี้จะค่อยๆ กัดกินตัวตนและจิตใจของพวกเขาไปเรื่อยๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวและไม่ตั้งคำถาม ความน่ากลัวของปรากฏการณ์เช่นนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการสูญเสียความทรงจำ แต่มันนำมาซึ่งการสูญเสียตัวตน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเป็นสังคมที่เฉยชากับการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการจดจำและไม่ตระหนักถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบอื่นที่ตามมาด้วย

การสูญเสียความทรงจำสู่การล่มสลายของสังคม

“ความจำที่สาบสูญ” ไม่เพียงแต่บอกเล่าถึงสภาพสังคมและผู้คนที่เฉยชาต่อการสูญเสียความทรงจำซึ่งกระทำโดยรัฐเท่านั้น แต่ยังสะท้อนภาพอนาคตของสังคมที่ผู้คนไม่มีความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่าถึงบางพื้นที่บนเกาะที่กลายสภาพเป็นเมืองร้าง ที่บ่งบอกว่าปรากฏการณ์สาบสูญเคยเกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ และมันกำลังคืบคลานมายังเมืองของตัวละครหลัก

ลำดับของสิ่งของที่สูญหายจากความทรงจำก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจในนวนิยายเรื่องนี้ การสูญหายดังกล่าวเกิดขึ้นจากสิ่งของทั่วไปที่แทบไม่มีความสำคัญ ทำให้คนบนเกาะไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนต่อการสูญเสียความทรงจำและตั้งคำถามต่อรัฐในทันที ทว่าการสูญหายนี้ค่อยๆ ไต่ระดับไปสู่สิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น ผลของต้นไม้ ซึ่งกว่าคนบนเกาะจะรู้ว่าตัวเองประสบกับหายนะแล้วจริงๆ ก็ต่อเมื่อฤดูหนาวยาวนานกว่าปกติ และพวกเขาไม่มีเสบียงอาหารเหลืออยู่เลย

จากปัจจัยที่สำคัญต่อร่างกายอย่างอาหาร ผู้เขียนเพิ่มความเข้มข้นของการสูญเสียความทรงจำไปสู่การล่มสลายทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนผ่านการสูญเสียความทรงจำที่มีต่อนิยาย ตอกย้ำด้วยภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่ทำลายเมืองทั้งเมืองจนแทบไม่สามารถซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิมได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า รากฐานทางจิตใจที่ถูกทำลายนั้นสามารถส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมและบ้านเมือง

เรื่องเล่า: ภาพของเสียงและตัวตนที่หายไป

ขณะที่ผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวของคนบนเกาะที่สูญเสียความทรงจำทีละน้อยโดยฝีมือของรัฐบนเส้นเรื่องหลัก แต่ยังมีเส้นเรื่องรองที่เล่าคู่ขนานกันไป นั่นคือเรื่องราวของพนักงานพิมพ์ดีดที่สูญเสียเสียงของตัวเอง ในนิยายที่ตัวละครหลักเป็นผู้เขียน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ถึงจุดจบของคนบนเกาะ พร้อมทั้งเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ที่สอดแทรกอยู่ระหว่างเส้นเรื่องหลัก ซึ่งล้วนแต่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้คนที่ถูกสั่งห้ามเปล่งเสียง จนกระทั่งไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป และต้องตกอยู่ในสภาวะไร้สิทธิเสรีภาพและไร้ตัวตนในที่สุด

ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของ “ความจำที่สาบสูญ” คือการเชื่อมโยงและต่อยอดประเด็นเกี่ยวกับความทรงจำและอำนาจรัฐจากนวนิยายดิสโทเปียเลื่องชื่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “1984” โดยจอร์จ ออร์เวลล์ ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ประเด็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐลบบันทึกทางประวัติศาสตร์และความทรงจำส่วนบุคคล พร้อมเขียนบันทึกทางประวัติศาสตร์ใหม่ตามความจริงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ของรัฐ ภายใต้คติพจน์ที่ว่า “ผู้ใดควบคุมอดีต ผู้นั้นควบคุมอนาคต ผู้ใดควบคุมปัจจุบัน ผู้นั้นควบคุมอดีต” (“Who controls the past controls the future: who controls the present controls the past.”) กระบวนการอันเป็นระบบเช่นนี้ส่งผลให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าความทรงจำของตัวเองถูกต้องหรือไม่ และเลือกที่จะเชื่อข้อมูลของรัฐแทน

นอกจากนี้ ชะตากรรมของตัวละครหลักใน “ความจำที่สาบสูญ” ยังเทียบเคียงได้กับ “เกรกอร์ แซมซา” เซลส์แมนผู้ซึ่งตื่นมาในเช้าวันหนึ่งและพบว่าตัวเองกลายเป็นแมลงยักษ์ ในเรื่อง “The Metamorphosis” โดยฟรันซ์ คาฟคา ร่างกายที่ค่อยๆ สูญเสียอิสรภาพทีละน้อยเป็นผลมาจากชีวิตที่ติดกับดักหน้าที่ต่อครอบครัวของเกรกอร์ ขณะที่ความทรงจำของเขาก็ค่อยๆ สูญสลาย จนกระทั่งสูญเสียตัวตนและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

อีกหนึ่งผลงานที่แฝงอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ คือ “Fahrenheit 451” โดยเรย์ แบรดเบอรี ที่ว่าด้วยสังคมที่หนังสือถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและไม่พึงประสงค์ ต้องกำจัดให้สิ้นซากโดยการเผา ทำให้ความทรงจำร่วมของสังคมถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ ความทรงจำไม่เพียงแต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวตนและคลังความรู้ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจรัฐในการควบคุมความคิด ดังนั้น สิ่งที่ตัวละครหลักใน “Fahrenheit 451” ทำ ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้ที่มีความทรงจำใน “ความจำที่สาบสูญ” นั่นคือการจดจำและกักเก็บสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำนั้นไว้ แม้จะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์โดยรัฐก็ตาม

ของหาย – คนหาย การทำลายความทรงจำในชีวิตจริง

พ.ศ. 2560 หมุดคณะราษฎรถูกรื้อถอน และมีการนำหมุดใหม่มาติดตั้งแทน ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าหมุดคณะราษฎรนั้นอยู่ที่ไหน ต่อมาใน พ.ศ. 2561 อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ บริเวณวงเวียนหลักสี่ กรุงเทพมหานคร หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ เช่นเดียวกับกลุ่มอาคารยุคคณะราษฎรบนถนนราชดำเนิน ที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบทางสถาปัตยกรรม วัตถุเหล่านี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่การปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งก่อการโดยคณะราษฎร

ปลาย พ.ศ. 2561 พบร่างไร้วิญญาณของสองนักกิจกรรมทางการเมือง ชัชชาญ บุปผาวัลย์ และไกรเดช ลือเลิศ ในแม่น้ำโขง บริเวณจังหวัดนครพนม ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มทางการเมืองที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ส่วนสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลุ่มเดียวกับชัชชาญและไกรเดช หายตัวไปและไม่มีใครทราบชะตากรรมของเขาจนกระทั่งบัดนี้

พ.ศ. 2562 สยาม ธีรวุฒิ นักกิจกรรมทางการเมือง อีกหนึ่งผู้เห็นต่างจากรัฐบาล คสช. ถูกจับกุมตัวในประเทศเวียดนาม และถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ทว่าไม่มีผู้ใดทราบที่อยู่และชะตากรรมของเขาอีกเลย เช่นเดียวกับวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชา และถูกกลุ่มชายชุดดำลากตัวขึ้นรถตู้กลางวันแสกๆ เมื่อ พ.ศ. 2563

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของสิ่งของและผู้คนที่สูญหายไป การสูญหายเหล่านี้ไม่เพียงแต่พรากเอาวัตถุหรือตัวของบุคคลไปเท่านั้น แต่ยังพรากความทรงจำร่วมของสังคมที่มีต่อสิ่งเหล่านี้หรือผู้คนเหล่านี้ไปด้วย เมื่อความทรงจำเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกคนในสังคมมีรากฐาน มีตัวตน การกำจัดความทรงจำออกจากชีวิตประจำวันของผู้คน ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการลดทอนพลังของผู้คน และเป็นการทำลายตัวตนของคนในสังคมโดยรวม และที่ร้ายกว่านั้น ผู้ใดที่พยายามจดจำและรื้อฟื้นความทรงจำในอดีต กลับถูกจับตามอง คุกคาม และดำเนินคดีโดยรัฐทั้งสิ้น

มีคำกล่าวอย่างขำขันในโลกออนไลน์ว่า “นวนิยายดิสโทเปียเป็นคำเตือน ไม่ใช่คู่มือ” (Dystopian fiction is a warning, not an instruction manual.) “ความจำที่สาบสูญ” จึงนับเป็นหนึ่งในคำเตือนที่แยบยล ทว่าชัดเจน เกี่ยวกับการละเมิดความเป็นมนุษย์ผ่านการทำลายความทรงจำ ซึ่งสามารถก่อหายนะได้ในระดับสังคม หากไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาตั้งคำถามและ “จดจำ” ทุกสิ่งเอาไว้

Author

  • บรรณาธิการและนักเขียนผู้เชื่อในสิทธิเสรีภาพและพลังของการเล่าเรื่อง มีดนตรีเมทัลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และกาแฟเป็นอาหารหลัก

    View all posts