ในประวัติศาสตร์ไทยมีการตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงหรือคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายหลังเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและกว้างขวางเกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง เช่น การค้นหาความจริงกรณีความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 นโยบายปราบปรามยาเสพติดเมื่อปี 2546 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ จวบจนถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 ซึ่งมีการก่อตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ขึ้น เป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ในการค้นหาความจริงเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 อย่างไรก็ตามการทำหน้าที่ของคอป. และรายงานที่ออกมานั้น เผชิญกับความท้าทายหลายประการ และคำวิพากษ์วิจารณ์จากหลายมุมมอง
บทความนี้จะสำรวจอุปสรรค ข้อท้าทาย และคำวิจารณ์ ซึ่งเป็นบทเรียนจากคอป. ผ่านการรวบรวมความเห็นทางวิชาการและบทวิเคราะห์จากรายงานคอป. โดยจะทำการสำรวจบทเรียนที่ได้จากการดำเนินงานของคอป.ในขั้นตอนต่างๆ แบ่งเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ ขั้นตอนการจัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล และขั้นตอนการรายงานผลและข้อเสนอแนะ เพื่อเรียนรู้ข้อท้าทาย ปัญหา และอุปสรรคอันเป็นบทเรียนที่สังคมจะได้เรียนรู้จากคอป. เพื่อนำไปสู่แนวทางในการพัฒนาการค้นหาความจริงในเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในอนาคต โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดการก่อตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในช่วงเวลาภายใต้อำนาจของระบอบ คสช. ในช่วง ปี 2557 – 2565 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในหลายมิติ และเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องถัดมาจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553

ขั้นตอนการการก่อตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
รายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ระบุถึงที่มาของคอป. ไว้ในช่วงต้น โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เห็นชอบหลักการให้มีคอป. และแต่งตั้ง ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการฯ ต่อมาในวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 ครม. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการที่ ศ.ดร. คณิต เสนอ ให้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. 25531คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม 2553 – กรกฎาคม 2555 2555 8 <https://peaceresourcecollaborative.org/theories/justice-and-remedies/reconthailand> สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2567กล่าวคือคอป. จะดำเนินการตรวจสอบโดยอาศัยอำนาจจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกโดยฝ่ายบริหาร
อำนาจ หน้าที่ และสถานภาพของคอป.
ที่มาของการก่อตั้งคอป. ทำให้เกิดข้อท้าทายหลายประการ ประการแรก คือ ในขณะนั้นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี การที่ คอป. ก่อตั้งขึ้นมาโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหมายความว่าคณะกรรมการชุดนี้ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งมีส่วนในการออกคำสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงในเหตุการณ์ความรุนแรงจากการสลายการชุมนุมครั้งดังกล่าว ใน “บทศึกษาเปรียบเทียบคอป. กับคณะกรรมการสืบหาความจริงในต่างประเทศ” โดยปราชญ์ ปัญจคณาธร ชี้ให้เห็นว่าที่มาของคอป. แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับคณะกรรมการสืบหาความจริงที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศอย่าง คณะกรรมการในประเทศอาร์เจนตินา ชิลี เอลซัลวาดอร์ อัฟริกาใต้ และกัวเตมาลา โดยประเทศเหล่านี้ผู้แต่งตั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชญากรรมที่คณะกรรมการจะตรวจสอบ2ปราชญ์ ปัญจคณาธร, ‘บทศึกษาเปรียเทียบคอป. กับคณะกรรมการสืบหาความจริงในต่างประเทศ’ (รัฐสภาไทย, 10 ตุลาคม 2556) < https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/download/article/article_20131010111402.pdf > สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2567. อีกทั้งงานศึกษา “ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด: องค์กรอิสระในกรณีการสลายการชุมนุมปี 2553” โดยรศ. ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ ยังวิเคราะห์ว่าที่มาคอป. โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ท่ามกลางภาวะที่การเมืองไทยแตกออกเป็นสองขั้วเช่นนี้นั้นทำให้คนเสื้อแดงกังขาต่อความเที่ยงตรงของคอป. ตั้งแต่เริ่ม3พวงทอง ภวัครพันธุ์, ‘ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด : องค์กรอิสระในกรณีการสลายการชุมนุมปี 2553’ (รายงานส่วนบุคคล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559) 7.
นอกจากนี้ ปราชญ์ยังเสนอให้เห็นในบทความวิชาการของตนว่า กลไกการสรรหาคอป. ท่ามกลางการแบ่งขั้วอย่างรุนแรงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากที่จะหาบุคคลที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือพอว่าจะมีความเป็นกลาง กรณีของไทยเมื่อเทียบกับคณะกรรมการในห้าประเทศข้างต้นที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางซึ่งบทความดังกล่าวได้ศึกษานั้น กลับพบว่ากระบวนการแต่งตั้งคอป. ยังขาดกลไกที่จะช่วยให้มั่นใจมากขึ้นว่าคณะกรรมการค้นหาความจริงจะมีความเป็นกลาง กล่าวคือการก่อตั้งคอป. ยังขาดการมีส่วนร่วมจากองค์กรนานาชาติในการแต่งตั้งกรรมการ และไม่มีกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งแตกต่างจากกรณีของคณะกรรมการในประเทศเอลซัลวาดอร์และกัวเตมาลา ในกรณีของไทย สาธารณชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการแต่งตั้งคอป. ไม่ว่าทางตรงเช่นกรณีของคณะกรรมการในอัฟริกาใต้ หรือทางอ้อมเช่นกรณีคณะกรรมการในอาร์เจนตินา นอกจากนี้ คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายคือกลุ่มคนเสื้อแดงและรัฐบาลไม่ได้มีโอกาสในการลงนามรับรองหรือปฏิเสธ คอป. แตกต่างกับกรณีคณะกรรมการในเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และอัฟริกาใต้ อีกทั้ง คอป. ไม่ได้มีกรรมการคนใดที่ได้รับการแต่งตั้งในฐานะที่เป็นตัวแทนคู่ขัดแย้งของแต่ละฝ่ายเพื่อถ่วงดุลภายใน แตกต่างกับกรณีคณะกรรมการในชิลี4ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 7-8.
ปัญหาข้างต้นยังสะท้อนอยู่ในรายงานของ คอป. เช่นกัน ในหัวข้อ “ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการ” คอป. ระบุว่าหนึ่งในปัญหาและอุปสรรคคือ ข้อจำกัดจากสถานภาพและที่มาของ คอป. รายงานของคอป. สรุปยอมรับว่าการที่คอป. ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งสังคมมองว่าเป็นผู้กระทำการละเมิดและผิดกฎหมายจนเป็นเหตุให้มีการใช้อาวุธร้ายแรงฆ่าสังหารผู้ชุมนุม ซึ่งนับว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง ทำให้บางฝ่ายขาดความเชื่อมั่นและไม่ให้ความร่วมมือ5คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 17. ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศทั่วไปของความขัดแย้งยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและเป็นบรรยกาศที่ยากที่จะสร้างให้เกิดความเชื่อใจของแต่ละฝ่ายได้โดยง่าย โดยเฉพาะจากกลุ่มคนเสื้อแดง ผู้ชุมนุม และพรรคการเมืองที่สนับสนุนคนเสื้อแดง คอป. ระบุว่าด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้การสัมภาษณ์และรวบรวมข้อมูลเป็นไปอย่างจำกัดยิ่ง6คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 51. และแม้ในการทำงานช่วงหลังการเลือกตั้งในปี 2554 ในช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สถานการณ์ความขัดแย้งจะคลี่คลายลงบ้างเมื่อเทียบกับในช่วงแรก และคอป. ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากการดำเนินงานอย่างอิสระอันเป็นที่ประจักษ์7เพิ่งอ้าง. แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาเรื่องข้อจำกัดทางสถานภาพและที่มาดังกล่าวมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการทำงานของคอป. และรายงานที่ออกมา เพราะในภาพรวมตลอดการทำงาน คอป. ทำงานท่ามกลางช่วงเวลาที่การเมืองไทยมีการแบ่งขั้วอย่างรุนแรง ยากที่จะได้รับความวางใจจากกลุ่มคนเสื้อแดง ในขณะเดียวกันก็ยากที่จะได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน นอกจากนี้ข้อท้าทายที่เกิดจากที่มาของคอป. อีกประการหนึ่งคือ เนื่องจากคอป. ถูกก่อตั้งขึ้นผ่านระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้คอป. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายมากพอที่จะทำให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและพยานหลักฐานเอกสาร งานศึกษา “Wreck/Conciliation? The Politics of Truth Commissions in Thailand” โดย ศ. ดันแคน แม็คคาร์โก (Duncan McCargo) และดร. นฤมล ทับจุมพล ชี้ว่าแม้คอป. จะใช้แหล่งข้อมูลและวิธีการที่หลากหลาย แต่การเข้าถึงข้อมูลยังคงมีปัญหาจากเหตุผลหลายประการไม่ว่าจะเป็นการขาดอำนาจที่จะออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่รัฐให้มาให้การกับคอป. เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ต้องการและครบถ้วน หรือขาดอำนาจที่จะจัดให้มีโครงการคุ้มครองพยานได้ เช่น คอป. สามารถเข้าถึงรายงานผลชันสูตรของผู้เสียชีวิตเพียง 62 รายจาก 92 ราย อีกทั้งรายงานที่ได้รับนั้นมีรูปการชันสูตรพลิกศพเพียงไม่กี่รูป และคอป. ได้รับรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเพียง 50 ฉบับ8Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon, ‘Wreck/Conciliation? The Politics of Truth Commissions in Thailand’ (2557) 14 (3) Journal of East Asian Studies 377, 387 ปัญหาดังกล่าวสะท้อนผ่านรายงานของคอป. เช่นกัน โดยคอป. ได้ระบุในหัวข้อปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการว่า นอกจากปัญหาเรื่องข้อจำกัดจากสถานภาพและที่มาของคอป. ข้างต้น คอป. ยังเผชิญกับอุปสรรคที่ว่าคอป. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายใดและการทำงานเป็นไปในลักษณะการขอความร่วมมือ ส่งผลให้คอป.ยังขาดข้อมูลสำคัญที่ยังคงถูกปิดบังซ้อนเร้นจากบางหน่วยงาน ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและความจริงอันเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งคอป. ยังไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลหรือองค์กรที่ให้ข้อมูล เนื่องจากคอป. ไม่มีอำนาจในการสั่งหรือจัดให้มีการคุ้มครองพยานตามกฎหมายเกิดขึ้นได้9คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 16-17.

วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของคอป.
นอกจากประเด็นสถานภาพและที่มาของคอป. ยังปรากฏการตั้งคำถามต่อวัตถุประสงค์ของคอป. อีกด้วย จากรายงานของ คอป. ระบุว่ามียุทธศาสตร์การดำเนินงาน 4 มิติ คือ หนึ่งการตรวจสอบค้นหาความจริง (Truth Seeking) โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 และรากเหง้าปัญหาความขัดแย้ง สองการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง ประกอบด้วยการฟื้นฟูและการเยียวยา (Restoration) และการป้องกันความขัดแย้ง (Conflict Prevention) สามการศึกษารากเหง้าปัญหาของความขัดแย้ง สี่การสร้างความปรองดองและป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก10คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 13.
อย่างไรก็ตามยังคงมีหลายความเห็นที่ตั้งคำถามต่อวัตถุประสงค์การดำเนินงานของคอป. ที่ดูเหมือนจะเน้นไปยังภารกิจการค้นหาความจริงเพียงเท่านั้น แต่จะมีการนำความจริงที่ค้นหามายอมรับอย่างเป็นทางการถึงสาเหตุและผลของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความรับผิดหรือไม่นั้น วัตถุประสงค์อย่างหลัง คอป. ไม่ได้ระบุหรือแสดงออกอย่างแน่ชัดนัก งานวิจัยโดย ศ. ดันแคน และ ดร. นฤมล ยกคำพูดของศ.ดร. คณิต ประธานคอป. เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของคอป. ว่า คอป. ไม่มีเจตนาจะกล่าวโทษไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ความเห็นดังกล่าวเป็นความเห็นที่ทำให้สังคมกังขาถึงความจริงใจและคุณค่าของกระบวนการค้นหาความจริงของคอป. อย่างไรก็ตามคณิตยืนยันเป็นการส่วนตัวภายหลังว่าคำกล่าวของ ศ.ดร. คณิตก่อนหน้าเป็นเพียงยุทธศาสตร์เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ให้ข้อมูลโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงจะให้ความร่วมมือ และศ. ดร. คณิต ยังคงเชื่อมั่นว่าจะต้องมีการสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างเหมาะสม11Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 382.
รศ.ดร. พวงทอง ได้ตั้งคำถามในงานวิจัยตนถึงแนวทางของ ศ.ดร. คณิต ข้างต้นในการค้นหาความจริงแต่ไม่ต้องการเอาผิดใคร ซึ่งถูกยืนยันในรายงานคอป. อีกครั้งว่า คอป. ให้ความสำคัญในการค้นหาความจริงแต่จะไม่ตัดสินว่าใครถูกผิด และสมควรต้องถูกลงโทษทางกฎหมายหรือไม่เนื่องจากไม่ใช่องค์กรในกระบวนการยุติธรรม รศ. ดร. พวงทองมองว่าการที่คอป. วางแนวทางเช่นนี้ หมายความว่าการแสวงหาความจริงกับการต้องรับผิดเป็นสองเรื่องที่แยกออกจากกันหรือไม่ อีกทั้งยังผูกติดเรื่องถูกผิดให้ขึ้นกับกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเท่านั้น และหากผิดจริง เหตุใดคอป. จึงไม่เสนอให้ดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป12พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 8.
ศ. ดันแคน และดร. นฤมล ยังตั้งคำถามถึงหนึ่งในวัตถุประสงค์ของคอป. ซึ่งปรากฏในรายงานเบื้องต้น (Interim Report) ฉบับแรก คือ ความต้องการพิสูจน์ต่อนานาชาติว่าประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งผ่านการจัดตั้งกลไกองค์กรอิสระได้ ศ. ดันแคน และดร. นฤมล ตั้งคำถามว่าเป็นวัตถุประสงค์ที่สมเหตุสมผลที่จะนำพาไปสู่การค้นหาความจริงหรือไม่13Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 385.

ข้อกังขาต่อบางความเห็นของกรรมการ
ประเด็นสุดท้ายในส่วนขั้นตอนการก่อตั้งคอป. คือ ความคิดเห็นส่วนตัวของกรรมการส่วนหนึ่งในคอป. บางแง่มุมนั้น หลายฝ่ายอาจยังตั้งข้อกังขา รศ.ดร. พวงทอง รวมถึง ศ. ดันแคน และดร. นฤมล ต่างมองว่า หนึ่งในประเด็นที่มีปัญหาคือการที่ ศ.ดร. คณิตเปรียบเทียบการขึ้นสู่อำนาจของทักษิณไม่ต่างจากฮิตเลอร์ การเปรียบเช่นนี้เป็นการผูกติดภาพของขบวนการคนเสื้อแดงซึ่งเป็นผู้เสียหายจากความรุนแรงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 กับความเป็นปฏิปักษ์ศัตรู ส่งผลให้ผู้วิจารณ์คอป. มองข้ามคุณค่าผลการตรวจสอบของคอป. และแสดงให้เห็นว่าคอป. อาจมีการปะปนความเห็นและอคติส่วนตนด้วยหรือไม่14พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 15-16.15Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 390. ศ. ดันแคน และดร. นฤมล ยังมองว่าแม้สมาชิกคอป. จะมีความสนใจในการปฏิรูปกฎหมายมาอย่างยาวนาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีกรรมการคนใดเป็นตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวไปในทางที่เห็นใจต่อกลุ่มคนเสื้อแดง
ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล
กระบวนการรวบรวมข้อมูลของคอป. มีข้อท้าทายหลายประการ และมีการเสนอข้อคิดเห็นถึงช่องว่างของคอป. ในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลในหลายประเด็นที่ควรรับฟังเพื่อการพัฒนาสำหรับคณะกรรมการค้นหาความจริงคณะอื่นๆ ของประเทศไทยในอนาคต
การพิจารณาข้อมูลในลักษณะภาพรวมมากกว่าการพิจารณาเป็นรายกรณี
ประเด็นแรกคือ การพิจารณาข้อมูลในลักษณะภาพรวมมากกว่าการพิจารณาเป็นรายกรณี รศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ ในฐานะตัวแทนศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 (ศปช.) ได้นำเสนอความเห็นภายในงานเสวนา “รัฐประหาร 19 กันยากับอาชญากรรมโดยรัฐ กรณีการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 53” ณ ตึกเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 ว่ารูปแบบการพิจารณาข้อมูลของคอป. เป็นไปในลักษณะที่เหมารวมในเชิงภาพรวมมากกว่าจะทำการวิเคราะห์ผ่านรายกรณี โดยรศ. ดร. พวงทองกล่าวว่า แม้คอป. จะอธิบายถึงรายละเอียดเรื่องการปรากฏตัวของชายชุดดำไว้มาก แต่กลับไม่มีการวิเคราะห์การตายของผู้ชุมนุมเป็นรายกรณี รศ.ดร. พวงทองเชื่อว่าหากมีการวิเคราะห์เป็นรายกรณีไม่เหมารวมเป็นก้อน จะทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเกินกว่าเหตุตามอำเภอใจ และไม่ได้เป็นการโต้ตอบชายชุดดำจนเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแต่อย่างใด16‘ศปช. อ่านรายงาน คอป.: ‘พวงทอง’ วิพากษ์หลักฐาน-การให้น้ำหนัก-โครงเรื่อง’ ประชาไท (23 กันยายน 2555) < https://prachatai.com/journal/2012/09/42793> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2567.
นอกจากนี้ ปราชญ์ ปัญจคุณาธร ยังกล่าวถึงประเด็นปัญหาเดียวกันว่า รายงาน คอป. รวบรวมข้อมูลโดยแบ่งตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ และเป็นการอธิบายเหตุการณ์ในลักษณะของภาพรวมโดยมีประเด็นเรื่องการเสียชีวิตและการบาดเจ็บเป็นรายละเอียดย่อยมากกว่าจะเป็นการบรรยายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บแต่ละรายในรายงาน อีกทั้งไม่มีการอ้างอิงถึงแฟ้มคดีของผู้เสียหายรายใดในรายงานและไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของทุกแฟ้มข้อมูลคดีที่เก็บข้อมูลมาเผยแพร่แก่สาธารณะ ลักษณะการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลของคอป. เป็นไปในลักษณะภาพรวมอ้างอิงตามวันเวลาและสถานที่ มากกว่าการรวบรวมข้อมูลรายกรณีซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่สะท้อนการมองว่าผู้เสียหายเป็นศูนย์กลางของการตรวจสอบ ปราชญ์ชี้ว่าการพิจารณาข้อมูลของคอป. แตกต่างจากคณะกรรมการอีกห้าประเทศที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ ซึ่งปราชญ์ได้ทำการเปรียบเทียบผ่านการใช้สามหลักเกณฑ์มาพิจารณา ได้แก่ หนึ่งบรรยายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับเหยื่อแต่ละรายในรายงานหรือไม่ สองอ้างอิงถึงแฟ้มคดีในเนื้อหารายงานหรือไม่ และสามเปิดเผยรายละเอียดของทุกคดีที่เก็บข้อมูลมาเพื่อประกอบรายงานหรือไม่ จะทำให้เห็นว่าแต่ละประเทศมีการพิจารณาข้อมูลเป็นรายกรณีมากน้อยเพียงใด โดยผลพบว่าคณะกรรมการของอาร์เจนตินา ชิลี และเอล ซัลวาดอร์ มีการดำเนินการทั้งสามอย่าง ในขณะที่อัฟริกาใต้ขาดเพียงการบรรยายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับเหยื่อแต่ละรายในรายงาน และกัวเตมาลาที่อย่างน้อยมีการดำเนินการหนึ่งอย่างคือเปิดเผยรายละเอียดของทุกคดีที่เก็บข้อมูลมาเพื่อประกอบรายงาน ในขณะที่คอป. ไม่มีการดำเนินการใดในสามอย่างนี้17ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 8-9.
การนำเสนอข้อมูลที่อาจมีปัญหา
นอกจากนี้รศ.ดร. พวงทอง ยังตั้งข้อสังเกตถึงการนำเสนอข้อมูลที่อาจมีปัญหา โดยรศ.ดร. พวงทองเสนอว่าจุดที่ทำให้ข้อมูลที่คอป. นำเสนออาจไม่มีน้ำหนักมากพอ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้โดยเฉพาะข้อมูลหลักฐานสำคัญที่เป็นภาพถ่ายและวิดีโอที่คอป. กล่าวถึงในรายงาน กลับไม่ปรากฏหลักฐานเหล่านี้บนโลกออนไลน์ นอกจากนี้รศ.ดร. พวงทองยังตั้งคำถามถึงสาเหตุของความรีบเร่งในการรวบรวมการสัมภาษณ์ในช่วงท้ายว่าเหตุใดการสัมภาษณ์จำนวนมากของคอป. จึงพึ่งจัดทำขึ้นในช่วง 2-3 เดือนก่อนคอป. หมดอายุการทำงาน18ประชาไท (เชิงอรรถ 16).
อย่างไรก็ตามในประเด็นการนำเสนอข้อมูลที่อาจมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นประเด็นน้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลหรือช่วงเวลาในการเก็บข้อมูลบางส่วน คอป. เองได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวเช่นเดียวกันในหัวข้อ “ปัญหาและอุปสรรคในการตรวจสอบและค้นหาความจริง” ภายในรายงานคอป. คอป. มีการกล่าวถึงปัญหาเรื่องภาพถ่ายและวิดีโอไว้ว่า ภาพถ่ายและวิดีโอที่ใช้ในรายงานบางส่วนเป็นส่วนที่มีการเผยแพร่ในสาธารณะตามสื่อต่างๆ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามแม้คอป. จะทำงานกับผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ภาพ พบว่าส่วนใหญ่ไม่สามารถระบุข้อเท็จจริงส่วนที่มาและวันเวลาที่มีการถ่ายภาพนั้นๆ ไว้ได้ จึงต้องอาศัยประกอบการวิเคราะห์ควบคู่กับเหตุการณ์และข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ อีกทั้งเนื่องจากมีภาพอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งมีการเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ คอป. ไม่สามารถตรวจสอบและระบุข้อมูลเหล่านี้ได้ทุกภาพ19คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52.
นอกจากนี้ คอป. ได้กล่าวถึงปัญหาของการเข้าถึงข้อมูลที่ล่าช้าและไม่ครบถ้วนตามที่ต้องการ โดยคอป. อธิบายไว้ว่าเหตุผลประการหนึ่งเป็นเพราะการทำงานของคอป. ควบคู่ไปกับช่วงเวลาที่มีการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐลังเลที่จะให้ความร่วมมือส่งมอบและเปิดเผยข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ลังเลที่จะให้ข้อมูลเนื่องจากเกรงว่าจะนำไปใช้ต่อสู้ในชั้นศาลหรือฟ้องร้องต่อไปไม่ได้ คอป. ได้อธิบายขั้นตอนการทำงานเพิ่มเติมว่าคอป. มีการขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งเอกชนและหน่วยงานรัฐ ผ่านหลายทางไม่ว่าจะเป็นทางวาจา การส่งหนังสือขอความร่วมมือ นอกจากอุปสรรคเรื่องการยอมให้ความร่วมมือส่งมอบและเปิดเผยข้อมูลของทุกฝ่ายแล้ว กระบวนการดำเนินการเหล่านี้ยังใช้เวลาอย่างมากเพื่อให้ได้ข้อมูลมา และแม้จะได้มาอย่างล่าช้า ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลทั้งหมดตามที่ขอไป20คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 51.
การรับฟังและให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานจากผู้เสียหายและหน่วยงานรัฐ
การรับฟังและให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานจากผู้เสียหายและหน่วยงานรัฐ เป็นอีกหนึ่งข้อท้าทายที่หลายฝ่ายมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง ในงานศึกษาของรศ.ดร. พวงทองชี้ให้เห็นว่า คอป. มีการคัดลอกคำประกาศของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หลายสิบฉบับซึ่งมีเนื้อความว่าศอฉ. มีความระมัดระวังและคอยย้ำเตือนให้เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการด้วยความระมัดระวังและเป็นไปตามหลักสากล รศ.ดร. พวงทองมองว่าการอ้างอิงถึงประกาศของศอฉ. นับสิบฉบับนั้นเป็นการบ่งบอกถึงกรอบการวิเคราะห์ความรุนแรงของคอป. ที่ใช้กับภาพรวมความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดในทุกจุดของเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้น รศ.ดร. พวงทองเห็นว่าการอ้างอิงดังกล่าวอาจเป็นการเน้นย้ำเป็นนัยถึงกรอบวิเคราะห์ที่มองว่า รัฐบาลและศอฉ. ได้พยายามระมัดระวังเต็มที่และให้เป็นไปตามหลักการสากลแล้ว แต่ที่รัฐกระทำความรุนแรงไปเพราะมีเหตุผลมาจากการตอบโต้กลับชายชุดดำ21พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 10.
นอกจากนี้ รศ. ดร. พวงทอง ยังกล่าวถึงข้อถกเถียงในประเด็นการถอนกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ ในเย็นวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งคอป. มีการสรุปว่า เจ้าหน้าที่ได้ถอนกำลังตั้งแต่เวลา 18. 15 น. เป็นต้นไป โดยอ้างอิงจากคำกล่าวของสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานศอฉ. ว่าได้ออกคำสั่งให้ทุกหน่วยถอนกำลังในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นการรับฟังข้อมูลจากทางรัฐโดยไม่ได้ตรวจสอบและไม่ได้รับฟังข้อมูลจากส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งพลเรือน22เพิ่งอ้าง. ในงานเสวนารศ.ดร. พวงทองกล่าวว่า หากคอป. รับฟังและให้น้ำหนักการสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้ชุมนุม จะพบข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งที่ว่าก่อนเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ยังพยายามเสริมกำลังจุดต่างๆ รุกเข้าหาผู้ชุมนุม และมีการโยนแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์อย่างต่อเนื่อง23ประชาไท (เชิงอรรถ 16). อีกทั้งในงานศึกษาของรศ.ดร. พวงทองยังได้ยกบทสัมภาษณ์ของพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ที่ได้กล่าวไว้ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ใจความว่าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นไม่มีกำหนดเวลาและต่อให้ต้องถึงค่ำก็จะทำให้เสร็จ24พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 10. อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกรวมอยู่ในรายงาน งานศึกษาของรศ.ดร. พวงทองยังชี้ให้เห็นถึงการรับฟังพยานหลักฐานจากฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่มีการตรวจสอบ และให้น้ำหนักมากกว่าข้อมูลจากผู้เสียหาย โดยชี้ให้เห็นผ่านการสรุปข้อมูลในกรณี 6 ศพ ณ วัดปทุมวนาราม ในบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คอป. ได้สรุปกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยยอมรับว่าทิศทางกระสุนมาจากหน่วยทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า แต่คอป. อ้างอิงคำให้การของเจ้าหน้าที่ทหารว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณนั้น และข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่ว่า “พบรอยแตกกะเทาะคล้ายกระสุนปืนที่ผนังคอนกรีตและใต้คานรองรถไฟฟ้าบีทีเอส ด้านหน้าวัดปทุมวนาราม…แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกลางแจ้งว่าไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นรอยกระสุนปืนหรือไม่”25พวงทอง ภวัครพันธุ์, ‘ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด : องค์กรอิสระในกรณีการสลายการชุมนุมปี 2553’ (รายงานส่วนบุคคล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559) 12 อ้างถึงใน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม 2553 – กรกฎาคม 2555 2555 152 <https://peaceresourcecollaborative.org/theories/justice-and-remedies/reconthailand> สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2567. คอป. อ้างอิงข้อมูลข้างต้นในการสรุปว่าบริเวณวัดปทุมวรารามมีชายชุดดำและการ์ดเสื้อแดงพร้อมอาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ อันเป็นเหตุผลของการระดมยิงของเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ราย รศ.ดร. พวงทองยังนำเสนอต่อไปว่าแม้ในรายงาน “ประเทศไทย ใบอนุญาตให้สั่งฆ่า” ขององค์กร “ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน” (Reporters Without Borders) จะปรากฏคำให้สัมภาษณ์ ของทั้งผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศที่อยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งให้สัมภาษณ์ว่าทหารยิงอย่างไม่เลือกหน้า26พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 13.แต่ดูเหมือนว่าในรายงานของคอป. ในประเด็นดังกล่าวจะไม่ได้อ้างถึงบทสัมภาษณ์จากผู้สื่อข่าวที่เผยแพร่เป็นการสาธารณะแล้วในส่วนนี้
ในขณะที่คอป. ถูกมองว่าให้น้ำหนักพยานหลักฐานจากรัฐมากกว่าและไม่มีการตรวจทานข้อมูลจากรัฐ ศ. ดันแคน และดร. นฤมล ยังกล่าวถึงในประเด็นเดียวกันโดยชี้ว่า รายงานคอป. มีคำให้การของผู้เสียหายในสัดส่วนที่น้อยมาก27Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 382.ปราชญ์ขยายความประเด็นดังกล่าวให้เห็นชัดขึ้น โดยปราชญ์นำเสนอว่าในรายงานของคอป. ไม่มีคำให้การจากเหยื่อหรือญาติพี่น้องของเหยื่อแต่อย่างใด และมีเพียงคำให้การจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เพียง 2 ครั้งจากเนื้อหาส่วนข้อเท็จจริงที่มีกว่า 154 หน้า ปราชญ์ยังได้รวบรวมตัวเลขสถิติที่คอป. อ้างอิงถึงคำบอกเล่าจากผู้เสียหาย ญาติพี่น้องผู้เสียหาย และผู้ร่วมชุมนุมที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐเพียง 9 ครั้ง ในขณะที่มีการอ้างอิงถึงคำให้การและหนังสือชี้แจงจากเจ้าหน้าที่รัฐถึง 73 ครั้ง28ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 9-10. อย่างไรก็ตามปราชญ์ชี้ให้เห็นว่าคอป. มีการสัมภาษณ์และบันทึกปากคำของผู้ได้รับผลกระทบกว่า 1,500 คน ภายในโครงการ “สำรวจและบันทึกคำบอกเล่าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในประเทศไทย (Statement Taking)” อย่างไรก็ตามปราชญ์ตั้งคำถามต่อไปว่าเหตุใดจึงไม่มีอ้างอิงถึงคำบอกเล่าเหล่านี้ในกระบวนการค้นหาความจริงในรายงานคอป. อีกทั้ง Statement Taking ดังกล่าวยังถูกแยกออกมาต่างหาก และมีการระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเป็นการบันทึกเพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้แสดงและระบายความรู้สึก อย่างไรก็ตามไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้นหาความจริงอยู่ในการดำเนินการบันทึกคำบอกเล่าผู้ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด29ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 11.
ทั้งนี้ ในรายงานคอป. ก็ได้มีการกล่าวถึงประเด็นเรื่องการรับฟังและให้น้ำหนักพยานหลักฐานซึ่งคอป. ก็มองว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคสำหรับการทำงานเช่นกัน โดยในรายงานคอป. มีการชี้แจงว่าคอป. เองก็เห็นว่าข้อมูลหลายส่วนที่คอป. ได้รับนั้นเป็นไปในทางที่ “เป็นข้อมูลฝ่ายเดียวหรือต่างมุมกันโดยที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้”30คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52. คอป. พยายามจัดการกับอุปสรรคดังกล่าวโดยในส่วนที่ยังถกเถียงซึ่งยังไม่เป็นที่ยุติ “คอป. จะเสนอให้เห็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันไว้เพื่อประกอบกับข้อค้นจากการตรวจสอบของคอป.”31เพิ่งอ้าง. และในประเด็นของการตรวจทานข้อมูลของรัฐ คอป. กล่าวถึงในหัวข้อปัญหาและอุปสรรคการตรวจสอบค้นหาความจริงเช่นกัน คอป. สะท้อนว่ากรณีเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น พยานหลักฐานจำนวนมากสูญหายหรือถูกทำลาย โดยตั้งข้อสังเกตไว้ว่าในการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหน่วยงานของรัฐไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบหรือไม่สามารถตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างถูกต้องแม่นยำเนื่องจากเหตุผลหลายประการไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไม่สามารถกำหนดสถานที่เกิดเหตุเป็นเหตุหวงห้ามเพื่อรักษาจุดเกิดเหตุให้อยู่ในลักษณะสภาพที่สมบูรณ์ไว้ได้ มีการทำความสะอาดก่อนที่จะมีการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หรือแม้แต่ไม่มีการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลยในบางจุด และตรวจสอบแต่ไม่ละเอียดครบถ้วน คอป. มองว่าการขาดพยานหลักฐานสำคัญจำนวนมาก และการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุที่ไม่ครบถ้วนและละเอียดตามที่ควรเป็นนั้นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการตรวจสอบของคอป. และที่สำคัญต่อการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ
การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังไม่ละเอียดเพียงพอ และการละเลยข้อมูลสำคัญบางประการ
ประเด็นสุดท้ายในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลคือ การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังไม่ละเอียดเพียงพอ และการละเลยข้อมูลสำคัญบางประการ ปราชญ์นำเสนอว่ารายงานคอป. มีการระบุถึงรายละเอียดเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบแต่ละรายน้อยมาก ปราชญ์เปรียบเทียบว่าในขณะที่รายงานคอป. มีการกล่าวถึงรายละเอียดการตายหรือบาดเจ็บ โดยรวมรายละเอียดของผู้เสียหายหลายรายเข้าด้วยกัน และระบุเพียงชื่อของผู้เสียชีวิต แต่ไม่มีการระบุถึงข้อมูลรายละเอียดการเสียชีวิตของแต่ละรายโดยละเอียด ทำให้เป็นการบรรยายถึงข้อมูลในภาพกว้างว่าใครทำอะไรอยู่ตรงไหนเพียงเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับรายงานของคณะกรรมการในอีกห้าประเทศซึ่งล้วนอธิบายรายละเอียดของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้เสียหายแต่ละกรณีโดยละเอียด ไม่ใช่เพียงในภาพกว้างที่ทำให้ทราบเพียงข้อมูลเบื้องต้นเช่น จำนวนผู้เสียชีวิต สถานที่ที่เกิดเหตุ เป็นต้น ปราชญ์ยกตัวอย่างกรณีของประเทศชิลี ที่มีการตรวจสอบและบันทึกการละเมิดสิทธิของผู้เสียหายรายกรณีอย่างละเอียดถึงขนาดที่ว่ามีข้อมูลเชิงลึกของผู้เสียชีวิต เช่น ประวัติพื้นเพที่มาของผู้เสียชีวิต เหตุการณ์การละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้น ประกอบกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และคำให้การจากพยานหลายปาก จนทำให้ความจริงที่ได้บันทึกไว้นั้นช่วยชี้ให้เห็นว่าผู้เสียชีวิตและผู้เสียหายกรณีนั้นๆ เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีอาวุธหรือไม่ได้เป็นนักรบติดอาวุธแต่อย่างใด โดยปราชญ์ได้ยกตัวอย่างผลการตรวจสอบของประเทศชิลี ของกรณีผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง ซึ่งสะท้อนลักษณะการเขียนที่ปราชญ์พยายามชี้ให้เห็น
“วันที่ 4 ก.พ. 1974 นาย Luis Manuel Romo Escobar อายุ 20 ปี เป็นพ่อค้าแผงลอยที่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ถูกฆ่า. เขาถูกจับกุมโดยทหารระหว่างที่เขาเดินเมาอยู่กับเพื่อนในช่วงเคอร์ฟิว. เพื่อนของเขาวิ่งหนีไปได้ พ่อของ Romo เจอศพของลูกชายที่มีบาดแผลจากรอยกระสุนหลายนัดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่หัวมุมถนนระหว่าง Departmental กับ Americo Vespucio. อาสัญบัตรเขียนว่าสาเหตุการตายคือ ‘แผลจากกระสุน’. รายงานการ ชันสูตรบันทึกว่าเขา ‘มีรอยแผลมากมายจากบาดแผลตัดผิวหนังที่อก ท้อง ช่วงบนและล่างของแขนและขา …เช่นเดียวกับรอยข่วนเป็นเส้นที่ต้นแขนและต้นขา และรอยช้ำขนาดกว้าง 2 ซม. บริเวณข้อมือ.’ เขายังมีแผลถูกยิงหลายนัด และมีเทปพลาสติกปิดตาเขาอยู่. คณะกรรมการปัก ใจเชื่อว่า Romo ถูกฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กำลังเกินเหตุ และนั่น ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิมนุยชนของเขา. เหตุผลที่คณะกรรมการเชื่อเช่นนั้นก็เพราะ: มีพยานหลายคนให้การว่าเห็นเขาถูกจับ, เป็นที่แน่นอนว่าเขาตายจากบาดแผลกระสุนในช่วงเคอร์ฟิว, ร่างกายของเขาชี้ชัดว่าเขาถูกใช้ความรุนแรง, มือของเขาถูกมัดและตาถูกปิดในขณะเสียชีวิต และผู้ก่อการทิ้งร่างของเขาไว้บนถนน.”32ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 13.
ปราชญ์เปรียบเทียบกับกรณีของไทยว่า หากคอป. มีการระบุรายละเอียดการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้เสียหายแต่ละกรณีโดยละเอียด อาจทำให้ความจริงปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เช่นประการว่า “…ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดไม่มีอาวุธในมือนอกเหนือไปจากหนังสติ๊กและดอกไม้ไฟ ผู้ชุมนุมเกือบทั้งหมดไม่ได้ใส่ชุดดำ และผู้ชุมนุมทั้งหมดมีอาชีพรับจ้าง พนักงานบริษัท นักศึกษา อาสาสมัคร พยาบาล นักข่าว และเด็ก จึงเป็นไปได้น้อยมากที่เหยื่อเหล่านี้จะรู้วิธีการใช้อาวุธสงคราม”33ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 11-14. และข้อมูลรายละเอียดเหล่านี้อาจทำให้สรุปได้ยากขึ้นว่าเหตุผลของการกระทำความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเพราะการปลุกปั่นยั่วยุหรือการใช้อาวุธของชายชุดดำ โดยปราชญ์ได้ยกตัวอย่างเนื้อหารายงานคอป. บางส่วนเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นลักษณะการระบุรายละเอียดที่แตกต่างจากกรณีของคณะกรรมการฯ ในต่างประเทศ ที่ปราชญ์ได้เปรียบเทียบ เนื้อหาดังกล่าวเป็นส่วนของเนื้อความที่ปรากฏภายใต้หัวข้อ 2.3 ข้อค้นพบเฉพาะกรณีในการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 โดยข้อความที่ปราชญ์ยกขึ้นมานั้นไม่มีแม้แต่การระบุชื่อและจำนวนของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
“ปรากฏรอยกระสุนจำนวนมากบนถนน พระรามที่ 4 บริเวณบ่อนไก่ ถึงใต้ทางด่วนพระรามที่ 4 โดยมีทิศทางการยิงมาจากถนนพระรามที่ 4 ด้านสะพานไทย-เบลเยี่ยม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่ พบว่าบริเวณนอกแนววางกำลังของเจ้าหน้าที่มีผู้ชุมนุมและชาวชุมชนหลายคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการถูกยิงมาจากทิศทางดังกล่าว” (รายงานคอป. หน้า 128)
รศ. ดร. พวงทอง ยังกล่าวถึงในประเด็นเดียวกันในแง่ที่ว่า คอป. เน้นย้ำเรื่องชายชุดดำและการมีอาวุธ ด้วยการสรุปในภาพกว้างมากกว่าการลงรายละเอียดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี ในขณะเดียวกันคอป. ก็ขาดการระบุข้อมูลรายละเอียดที่สำคัญซึ่งเป็นรายละเอียดในส่วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น รศ.ดร. พวงทองได้ยกประเด็นเรื่องจำนวนกระสุนมาอธิบาย โดยในรายงานคอป. แม้จะมีการเน้นถึงการปรากฏผู้มีอาวุธปะปนอยู่ในผู้ชุมนุมกลับไม่มีการนำเสนอข้อมูลตัวเลขสรรพกำลังและอาวุธที่รัฐบาลและศอฉ. อนุมัติในการใช้ปฏิบัติการครั้งดังกล่าว ซึ่งเชื่อได้ว่ามีการเตรียมกระสุนจริงถึง 479,577 นัด จากการรายงานของสื่อมวลชนและการเผยแพร่ข้อมูลในรัฐสภา ซึ่งฝ่ายทหารไม่เคยมีการออกมาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งรายงานคอป. ยังไม่มีการระบุรายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในผลชันสูตรว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกยิงบริเวณศีรษะและช่วงบนของร่างกาย34พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 11. หากคอป. มีการระบุรายละเอียดการละเมิดสิทธิที่เกิดกับผู้เสียหายแต่ละรายอย่างครอบคลุมแล้ว ข้อมูลเหล่านี้อาจชี้ให้เห็นถึงข้อสรุปที่ต่างออกไป

ขั้นตอนการรายงานผลและข้อเสนอแนะ
ในส่วนขั้นตอนการรายงานผลและข้อเสนอแนะ หลายความเห็นมองว่าแม้รายงานคอป. จะมีช่องว่างหลายประการ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อมูลในรายงานคอป. ก็มีส่วนสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการแก้ไขความขัดแย้ง อีกทั้งยังมีการเสนอความเห็นต่อข้อเสนอแนะของคอป. เพิ่มเติม
ความเห็นต่อข้อเสนอแนะของคอป.
ศ. ดันแคน และดร. นฤมล มองว่าในส่วนข้อเสนอแนะในรายงานของคอป. นั้น แม้คอป. จะมีข้อเสนอแนะอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะต้องไม่นำฝ่ายทหารมายุ่งเกี่ยวในการจัดการกับการชุมนุม เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจะต้องปฏิบัติตามหลักการสากลและเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตามข้อเสนอแนะต่อฝ่ายทหารเป็นไปในลักษณะที่เป็นข้อเสนอแนะทั่วไปเป็นอย่างมาก และไม่มีคำแนะนำที่เจาะจงชัดเจนถึงปัญหาการใช้กำลังและอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้แต่หลักการสากลถึงมาตรการในการจำกัดการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ35Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 394. ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ คอป. ได้มีการกล่าวถึงข้อท้าทายในส่วนข้อเสนอแนะไว้ส่วนหนึ่ง ข้อท้าทายสำคัญในส่วนนี้คือการบริหารจัดการความคาดหวังของผู้ที่สูญเสียหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบที่มีความคาดหวังต่อข้อเสนอแนะของคอป. โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการเยียวยา อย่างไรก็ตามคอป. มีอำนาจเพียงเสนอข้อเสนอแนะว่าควรต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรในส่วนที่เกี่ยวกับการเยียวยา ต่อหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องเพียงเท่านั้น36คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52.
การรายงานและเผยแพร่ผลการตรวจสอบ
ในงานศึกษาของรศ. ดร. พวงทอง มองว่าการแถลงข่าวของคอป. และเนื้อหาของตัวรายงานเองนั้นมีประเด็นเรื่องคนชุดดำและความรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มคนดังกล่าวเป็นประเด็นที่โดดเด่น แต่กลับมีการกล่าวถึงความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐในสัดส่วนที่น้อยมาก อีกทั้งรายงานคอป. ซึ่งมีจำนวนหน้า 275 หน้า กลับมีการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงยาวเพียง 152 หน้า จากการอธิบายของรศ.ดร. พวงทอง ข้างต้นชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนมองว่าการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงของคอป. อาจยังไม่มากเพียงพอและประเด็นที่คอป. เน้นย้ำ อาจทำให้การตรวจสอบเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐยังคงดูเบาบางเป็นอย่างมาก37พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 9.
นอกจากนี้ปราชญ์ยังได้เสนอความเห็นถึงการเผยแพร่รายงานคอป. โดยปราชญ์มองว่าคอป. มีข้อมูลดิบที่ได้จากการตรวจสอบพยานหลักฐานชั้นต้นและความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาตร์ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ในการที่จะช่วยให้สาธารณะทำความเข้าใจและวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวต่อไปได้ และการที่ประชาชนและองค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลดิบเหล่านี้อาจช่วยให้เกิดการเข้าถึงความจริงประการอื่นๆ ที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายงานของคอป. และที่สำคัญอาจช่วยไขข้อข้องใจให้กับผู้เสียหายและครอบครัว รวมถึงคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายทั้งหมดได้มากกว่าข้อมูลที่รายงานของคอป. ในขณะนี้มีเพียงเท่านั้น38ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 15.
งานศึกษาของศ. ดันแคน และดร. นฤมล มีส่วนที่กล่าวถึงการเผยแพร่รายงานคอป. และทิศทางของผลตอบรับจากสื่อ โดยแนวโน้มหลังจากมีการเผยแพร่รายงานสู่สาธารณะ รายงานคอป. ดูจะได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวก ศ.ดร. ดันแคน และดร. นฤมล ได้ยกข้อความจากข่าว Bangkok Post ที่กล่าวถึงรายงานคอป. ว่าเป็น “เป็นการพัฒนาที่ก้าวหน้าครั้งสำคัญจากอดีต” แม้ Bangkok Post จะตระหนักเช่นกันว่ารายงานคอป. ไม่ได้มีข้อมูลที่ครบถ้วน ในขณะที่สุณัย ผาสุข Human Rights Watch ก็แสดงความเห็นต่อรายงานคอป. ว่าเป็นรายงานที่ “ลงตัวและเป็นกลาง”39Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 392-393.
นอกจากนี้ศาตราจารย์ดันแคน และดร. นฤมลก็ได้ทำการสำรวจความแตกต่างระหว่างรายงานคอป. กับรายงาน “ความจริงคือหนทางสู่ความยุติธรรม: รายงานแสวงหาข้อเท็จจริง” โดยศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ซึ่งเป็นการจัดทำโดยกลุ่มเอกชน รายงานสองฉบับนี้มีความแตกต่างกันหลายประการ ในบางประเด็นทั้งสองรายงานอาจมีผลการตรวจสอบที่ตรงกัน แต่มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป งานศึกษาศาตราจารย์ดันแคน และดร. นฤมล ยกตัวอย่างความแตกต่างในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นมุมมองต่อคำนิยามการชุมนุมอย่างสันติ ความเห็นต่อการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือมุมมองต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในภาพรวมซึ่งศาตราจารย์ดันแคนได้สรุปส่วนนี้ว่า คอป.มองเหตุการณ์ความรุนแรงจากการวลายการชุมนปี 2553 เป็นการใช้ความรุนแรงที่เกินเหตุ แต่ศปช. มองเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสังหารหมู่หรือการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง40Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 389-290.
หากพิจารณาถึงบทเรียนและบทวิจารณ์ต่างๆ ที่บทความนี้ได้รวบรวม อาจปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สองรายงานแตกต่างกันแม้จะมีการตรวจสอบค้นหาความจริงในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นเพราะทั้งสองกลุ่มมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ในขณะที่คอป. อาจมีความสามารถในการเข้าถึงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อมูลดิบจากหน่วยงานรัฐมากกว่า แม้จะไม่มากและครบถ้วนตามที่คอป. ต้องการ แต่ก็ยังเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นหาความจริง ในขณะที่ศปช. อาจได้รับความวางใจในการให้ข้อมูลจากกลุ่มผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมากกว่า แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตรชั้นต้นได้มากเท่าคอป.

การค้นหาความจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพรรคพวก
นับแต่การรัฐประหาร ปี 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อเนื่องมายังยุครัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ คสช. โดยมีพล.อ. ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงปี 2565 นั้น เป็นช่วงเวลาที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงกว้างขวางและในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมคุมขังดำเนินคดี ลงโทษนักกิจกรรมที่ต่อต้านคัดค้านระบอบ คสช. ด้วยข้อหาต่างๆ ข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายร่างกายและจิตใจ ล่วงละเมิดทางเพศ และอื่นๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบ ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไทยมาอย่างยาวนาน และปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีผลต่อเนื่องในปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการดำเนินการค้นหาความจริงเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2567 ประเทศไทยได้มีความก้าวหน้าในการพยายามค้นหาความจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในยุคระบอบคสช. เป็นครั้งแรก จากความพยายามของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในการจัดทำรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีการบังคับสูญหายนักกิจกรรมทางการเมืองที่ลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ใน สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งถูกบังคับให้สูญหายและไประหว่างปี 2560 – 2564 จำนวน 9 ราย ได้แก่ อิทธิพล สุขแป้น, วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, ชัชชาญ บุปผาวัลย์ (เสียชีวิต), ไกรเดช ลือเลิศ, ชูชีพ ชีวะสุทธิ์, กฤษณะ ทัพไทย, สยาม ชีรวุฒิ และวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
รายงานฉบับดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เสียหายและครอบครัว รวมถึงสาธารณชน ที่จะได้รับทราบความจริงอย่างเป็นทางการจากกสม. ซึ่งเป็นสถาบันสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานรัฐ และเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่ามีการบังคับสูญหายบุคคลทั้ง 9 คนจริง เพื่อเยียวยาผู้เสียหายและครอบครัว รวมถึงให้รัฐบาล และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้พยานหลักฐานและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ความพยายามของกสม. ในครั้งนี้ยังมีความสำคัญยิ่งในการเป็น ‘จุดเริ่มต้น’ ที่จะนำทางไปสู่การค้นหาความจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการกระทำของคสช. และพรรคพวกที่เกิดอย่างเป็นระบบและส่งผลอย่างกว้างขวาง และเส้นทางในอนาคตนี้จะดำเนินการให้เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จได้ควรจะมองความพยายามครั้งก่อนๆ ในอดีตเป็นบทเรียน ซึ่งรวมไปถึงความพยายามในการค้นหาความจริงผ่าน รายงาน คอป. เอกสารทางประวัติศาสตร์ไทยชิ้นสำคัญที่แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้ให้บทเรียนแก่ประเทศไทยในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการจัดการกับความขัดแย้งต่อไป เพื่อสร้างหลักประกันว่าความรุนแรงเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับบุคคลใดอีก และเพื่อนำสังคมไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง

การค้นหาความจริงเพื่อเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงในการ ‘ค้นหาความจริง’ เพื่อที่จะพาสังคมก้าวผ่านอดีตที่โหดร้ายและเชื่อมรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านของสังคมไปสู่ความเป็นธรรมได้นั้น จะต้องเป็นการค้นหาความจริงที่ไม่เพียงแต่มุ่งรวบรวมข้อมูลในมิติใดมิติเดียว กล่าวคือ ไม่ใช่เพียงการแสวงหาความจริงในชั้นศาลผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมารับโทษทางอาญา การพิสูจน์ความเสียหายเพื่อเรียกร้องให้มีการชดเชยเยียวยาด้วยค่าสินไหมทดแทนในคดีแพ่ง หรือเป็นเพียงการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติด้านสิทธิมนุษยชน การค้นหาความจริงไม่ควรถูกจำกัดการดำเนินการอยู่เพียงมิติใดมิติหนึ่งแต่ต้องดำเนินการในทุกมิติควบคู่กัน ด้วยว่ามิติเหล่านี้แม้จะมีรูปแบบกระบวนการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีขั้นตอนการค้นหาความจริงเหมือนกัน กล่าวคือแม้ในหลายครั้งการค้นหาความจริงในมิติของกระบวนการของคดีอาญาอาจไม่สามารถทำให้ถึงขั้นที่ระบุตัวผู้กระทำผิดเพื่อให้เกิดเป็นคดีอาญาได้ แต่ในบางครั้งความจริงเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในคดีแพ่งเพื่อพิสูจน์ให้รัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายได้ ตลอดจนอาจทำให้สรุปได้ว่าเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงที่รัฐต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้าง

ดังนั้น การค้นหาความจริง ควรมุ่งให้เกิดผลในหลายมิติควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการ ‘ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน’ (Transitional Justice) คือเป็นการรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานเพื่อค้นหาความจริง (Truth Seeking) ทำความเข้าใจกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงที่เกิดขึ้นในอดีตร่วมกันในสังคม เพื่อนำไปสู่กระบวนการเยียวยาในทุกมิติ (Reparations) ที่ไม่จำกัดแต่เพียงการเยียวยาด้วยตัวเงิน แต่ครอบคลุมไปถึงทางด้านร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อฟื้นฟูชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหาย ตลอดจนการดำเนินคดีอาญา เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษในกระบวนการยุติธรรม (Prosecutions) ให้เกิดความเป็นธรรมและให้เกิดการรับผิดชอบต่อสังคม ป้องปรามวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้เกิดขึ้นในสังคมได้ รวมไปถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Institutional Reform) ให้เกิดการพัฒนาและแก้ไขในระดับนโยบาย รวมถึงระบบโครงสร้างขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเช่นในอดีตได้อีก
- 1คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม 2553 – กรกฎาคม 2555 2555 8 <https://peaceresourcecollaborative.org/theories/justice-and-remedies/reconthailand> สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2567
- 2ปราชญ์ ปัญจคณาธร, ‘บทศึกษาเปรียเทียบคอป. กับคณะกรรมการสืบหาความจริงในต่างประเทศ’ (รัฐสภาไทย, 10 ตุลาคม 2556) < https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/download/article/article_20131010111402.pdf > สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2567.
- 3พวงทอง ภวัครพันธุ์, ‘ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด : องค์กรอิสระในกรณีการสลายการชุมนุมปี 2553’ (รายงานส่วนบุคคล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559) 7.
- 4ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 7-8.
- 5คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 17.
- 6คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 51.
- 7เพิ่งอ้าง.
- 8Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon, ‘Wreck/Conciliation? The Politics of Truth Commissions in Thailand’ (2557) 14 (3) Journal of East Asian Studies 377, 387
- 9คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 16-17.
- 10คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 13.
- 11Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 382.
- 12พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 8.
- 13Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 385.
- 14พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 15-16.
- 15Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 390.
- 16‘ศปช. อ่านรายงาน คอป.: ‘พวงทอง’ วิพากษ์หลักฐาน-การให้น้ำหนัก-โครงเรื่อง’ ประชาไท (23 กันยายน 2555) < https://prachatai.com/journal/2012/09/42793> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2567.
- 17ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 8-9.
- 18ประชาไท (เชิงอรรถ 16).
- 19คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52.
- 20คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 51.
- 21พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 10.
- 22เพิ่งอ้าง.
- 23ประชาไท (เชิงอรรถ 16).
- 24พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 10.
- 25พวงทอง ภวัครพันธุ์, ‘ใบอนุญาตให้ลอยนวลพ้นผิด : องค์กรอิสระในกรณีการสลายการชุมนุมปี 2553’ (รายงานส่วนบุคคล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559) 12 อ้างถึงใน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม 2553 – กรกฎาคม 2555 2555 152 <https://peaceresourcecollaborative.org/theories/justice-and-remedies/reconthailand> สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2567.
- 26พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 13.
- 27Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 382.
- 28ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 9-10.
- 29ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 11.
- 30คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52.
- 31เพิ่งอ้าง.
- 32ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 13.
- 33ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 11-14.
- 34พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 11.
- 35Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 394.
- 36คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (เชิงอรรถ 1) 52.
- 37พวงทอง ภวัครพันธุ์ (เชิงอรรถ 3) 9.
- 38ปราชญ์ ปัญจคณาธร (เชิงอรรถ 2) 15.
- 39Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 392-393.
- 40Duncan McCargo and Naruemon Thabchumpon (เชิงอรรถ 8) 389-290.







