
- การที่บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ตัดสัญญาโทรศัพท์ของผู้ใช้ซิมแบบเติมเงินนั้น ส่งผลให้เกิดความเดือนร้อนอย่างมากของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากผู้ใช้ซิมเติมเงินเป็นส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ซิมที่มีรายได้ไม่มากนักและมีการใช้งานทั้งในเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เนต การติดต่อสื่อสารเพราะมีการจำกัดการเดินทางในภาวะที่มีการปิดเมือง ปิดตำบล ปิดหมู่บ้าน รวมทั้งการประสานขอความช่วยเหลือด้านการศึกษา การสาธารณสุขและด้านมนุษยธรรม เช่น
- การบังคับให้ประชากรที่ใช้ซิมโทรศัพท์ไปจดทะเบียนใหม่โดยการใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเพื่อพิสูจน์และรับรองอัตลักษณ์บุคคลแต่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาจะตัดสัญญาณโทรศัพท์ นั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสัญญาเนื่องจากผู้ที่ใช้โทรศัพท์มาแต่เดิมทำสัญญาเข้ารับบริการใช้เครือข่าย ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวจึงถือว่าบริษัทผู้ให้บริการผิดหลักการคู่สัญญาบริการธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ และการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารของประชาชน โดยไม่มีกฎหมายใดใดให้อำนาจไว้
- การดำเนินการตัดสัญญาณโทรศัพท์ของผู้ใช้ซิมแบบเติมเงินจำนวนในพื้นที่หลายแสนเลขหมาย เฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และขัดกับมาตรการขององค์การสหประชาชาติ[2] ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 ที่ว่า “การระบาดใหญ่ของโรคโควิด – 19 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของหลักการแยกออกจากกันไม่ได้และการพึ่งพาอาศัยกันของสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย การระบาดใหญ่ในครั้งนี้เป็นภัยคุกคามสาธารณสุขทั่วโลก อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ในหลายแง่มุมต่อการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เนื่องจากบางมาตรการที่รัฐบังคับใช้เพื่อต่อสู้กับการระบาดใหญ่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางโยกย้ายและสิทธิอื่นๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐจำต้องใช้มาตรการต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการระบาดใหญ่ด้วยความสมเหตุสมผล (reasonable) และได้สัดส่วน (proportionate) เพื่อรับประกันการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย” รวมทั้งขัดกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลักเสมอภาคและไม่มีเลือกปฏิบัติ
- อีกทั้งการจัดเก็บและการนำมาใช้ในการหาข้อมูลหรือเก็บหลักฐานประกอบปฏิบัติการข่าวกรองมักนำไปสู่การคัดกรองบุคคลโดยดูจากลักษณะทางเชื้อชาติ (Racial Profiling) หากไม่ใช้อย่างระมัดระวัง อาจทำให้เกิดการจับและลงโทษคนผิด นอกจากจะนับเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติยังสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนขาดความไว้วางใจต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก
- เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (คปส.)
- มูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
- กลุ่มบุหงารายาเพื่อการศึกษา
- กลุ่มด้วยใจ
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
- เครือข่ายปกป้องเด็กจังหวัดชายแดนใต้
- เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ ( JASAD)
- สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชน
- กลุ่มบ้านพิราบขาว จชต.
- เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี
- Deep South Watch – DSW
- ห้องเรียนเพศวิถีและสิทธิมนุษยชน (BUKU)
- สมาคมเพื่อการพัฒนาสตรีและการช่วยเหลือเด็กกำพร้า
- ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ธีรวัฒน์ ขวัญใจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- อันธิฌา แสงชัย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- เกื้อ ฤทธิบูรณ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- กุสุมา กูใหญ่ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- บัณฑิต ไกรวิจิตร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เมื่อต้อง “ไม่มีผู้ใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” แถลงการณ์ร่วม ขอให้ยุติการตัดสัญญาณโทรศัพท์โดยทันที กรณีผู้ใช้โทรศัพท์ ไม่ไปถ่ายรูปสองแชะในจังหวัดชายแดนใต้ ในสถานการณ์โควิด-19
เผยแพร่วันที่ 17 พฤษภาคม 2563
เมื่อ12 พฤษภาคม 2563 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเริ่มได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีที่ประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงินทั้งสี่เครือข่ายไม่ว่าจะเป็นของ CAT, DTAC, AIS และ TRUE ว่าสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดแล้ว ไม่สามารถใช้บริการอินเตอร์เนต รับสายเข้า และโทรออกได้
ก่อนหน้านี้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมักได้รับข้อความทางโทรศัพท์มือถือว่า ให้ทุกคนที่ต้องการใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ดังกล่าว ไปลงทะเบียนซิมการ์ดโดยวีธีการตรวจสอบใบหน้า (Face Recognition) เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ ของตน ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 มิเช่นนั้นจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือของตนได้[1] โดยข้อความลักษณะดังกล่าวมีเนื้อหาแตกต่างกันออกไปบ้าง และมีการจัดส่งอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันมาตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นมา
โดยมีข้อมูลของฝ่ายกฎหมาย กอรมน. ภาคสี่ส่วนหน้า ที่ให้ไว้กับการประชุมกรรมาธิการการกฎหมาย ยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นข้อมูลของช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563 ว่า มีผู้ใช้ซิมการ์ดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้จำนวนทั้งสิ้น 1.5 ล้านหมายเลข เป็นหมายเลขจดทะเบียนรายเดือนเพียง 300,000 หมายเลข ปัจจุบันนี้ทางกอรมน.ได้ดำเนินการบริการให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ลงทะเบียนโดยระบบสองแช้ะ อัตลักษณ์ไปแล้วทั้งสิ้น 888,813 เลขหมาย โดยใช้เจ้าหน้าที่ทหารทั้งสิ้น 7,305 นายดำเนินการมาตั้งแต่มีนโยบายนี้
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องพบว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะในสถานการณ์รับมือโควิด-19 ดังนี้
- การที่บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ตัดสัญญาโทรศัพท์ของผู้ใช้ซิมแบบเติมเงินนั้น ส่งผลให้เกิดความเดือนร้อนอย่างมากของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากผู้ใช้ซิมเติมเงินเป็นส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ซิมที่มีรายได้ไม่มากนักและมีการใช้งานทั้งในเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เนต การติดต่อสื่อสารเพราะมีการจำกัดการเดินทางในภาวะที่มีการปิดเมือง ปิดตำบล ปิดหมู่บ้าน รวมทั้งการประสานขอความช่วยเหลือด้านการศึกษา การสาธารณสุขและด้านมนุษยธรรม เช่น
1.1 มิติการศึกษา ในปัจจุบันการศึกษาของเด็กและเยาวชนในอนาคตที่ไม่สามารถเปิดโรงเรียนได้ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเปิดการเรียนการสอนหนังสือผ่านระบบออนไลน์ การตัดสัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ที่อัตราการเข้าเรียนและคุณภาพการศึกษามีโอกาสน้อยกว่าภาคอื่นๆของประเทศ จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1.2 มิติเศรษฐกิจ รายงานของธนาคารโลกระบุว่าอัตราความยากจนในพื้นที่ขัดแย้งสามจังหวัดชายแดนใต้สูงที่สุดในประเทศไทยและจากสถานการณ์ความมั่นคงและการระบาดของโควิด19 ทำให้ผู้คนในจังหวัดชายแดนใต้ประกอบอาชีพขายของออนไลน์มากขึ้น การตัดสัญญาณโทรศัพท์จึงเป็นการตัดโอกาสในการรอดพ้นภาวะยากจนและการมีรายได้เพื่อมาเลี้ยงชีพในครัวเรือน
1.3 มิติความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และการเข้าถึงความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุขและด้านมนุษยธรรม การตัดสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำหรือเดินทางคนเดียว หรือผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันเมื่อประสบอุบัติเหตุหรือเหตุร้ายหรือมีปัญหาสุขภาพฉุกเฉินการร้องขอความช่วยเหลือจึงผ่านทางโทรศัพท์ไม่อาจทำได้จึงมีความเสี่ยงที่จะมีโอกาสในการมีชีวิตรอด
- การบังคับให้ประชากรที่ใช้ซิมโทรศัพท์ไปจดทะเบียนใหม่โดยการใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเพื่อพิสูจน์และรับรองอัตลักษณ์บุคคลแต่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาจะตัดสัญญาณโทรศัพท์ นั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสัญญาเนื่องจากผู้ที่ใช้โทรศัพท์มาแต่เดิมทำสัญญาเข้ารับบริการใช้เครือข่าย ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวจึงถือว่าบริษัทผู้ให้บริการผิดหลักการคู่สัญญาบริการธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ และการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารของประชาชน โดยไม่มีกฎหมายใดใดให้อำนาจไว้
- การดำเนินการตัดสัญญาณโทรศัพท์ของผู้ใช้ซิมแบบเติมเงินจำนวนในพื้นที่หลายแสนเลขหมาย เฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และขัดกับมาตรการขององค์การสหประชาชาติ[2] ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 ที่ว่า “การระบาดใหญ่ของโรคโควิด – 19 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของหลักการแยกออกจากกันไม่ได้และการพึ่งพาอาศัยกันของสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย การระบาดใหญ่ในครั้งนี้เป็นภัยคุกคามสาธารณสุขทั่วโลก อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ในหลายแง่มุมต่อการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เนื่องจากบางมาตรการที่รัฐบังคับใช้เพื่อต่อสู้กับการระบาดใหญ่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางโยกย้ายและสิทธิอื่นๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐจำต้องใช้มาตรการต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการระบาดใหญ่ด้วยความสมเหตุสมผล (reasonable) และได้สัดส่วน (proportionate) เพื่อรับประกันการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย” รวมทั้งขัดกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลักเสมอภาคและไม่มีเลือกปฏิบัติ
- อีกทั้งการจัดเก็บและการนำมาใช้ในการหาข้อมูลหรือเก็บหลักฐานประกอบปฏิบัติการข่าวกรองมักนำไปสู่การคัดกรองบุคคลโดยดูจากลักษณะทางเชื้อชาติ (Racial Profiling) หากไม่ใช้อย่างระมัดระวัง อาจทำให้เกิดการจับและลงโทษคนผิด นอกจากจะนับเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติยังสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนขาดความไว้วางใจต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นองค์กรที่มีชื่อข้างท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้จึงขอเรียกร้องให้บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กสทช. กอ.รมน. 4 และรัฐบาล ได้ยุติการตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการในจังหวัดชายแดนใต้โดยทันที และต่อสัญญานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครือข่ายโดยทันที
รายชื่อบุคคลและองค์กรร่วมแถลงการณ์ ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2563
- เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (คปส.)
- มูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
- กลุ่มบุหงารายาเพื่อการศึกษา
- กลุ่มด้วยใจ
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
- เครือข่ายปกป้องเด็กจังหวัดชายแดนใต้
- เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ ( JASAD)
- สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชน
- กลุ่มบ้านพิราบขาว จชต.
- เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี
- Deep South Watch – DSW
- ห้องเรียนเพศวิถีและสิทธิมนุษยชน (BUKU)
- สมาคมเพื่อการพัฒนาสตรีและการช่วยเหลือเด็กกำพร้า
- ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ธีรวัฒน์ ขวัญใจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- อันธิฌา แสงชัย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- เกื้อ ฤทธิบูรณ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- กุสุมา กูใหญ่ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- บัณฑิต ไกรวิจิตร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
[1] ตัวอย่างข้อความ “กอ.รมน.ภาค4 ขอให้ผู้ใช้บริการใน 3จว.ชายแดนใต้+4 อำเภอสงขลา ลงทะเบียนซิมด้วยระบบตรวจสอบใบหน้า/อัตลักษณ์ ภายใน 31ต.ค.62 เช็กสถานะซิม กด*165*5*เลขบัตรปชช.# โทรออก หากไม่ดำเนินการในวันที่กำหนด จะไม่สามารถใช้บริการได้ฟังข้อมูลเพิ่มเติมกด*915653 ภาษายาวีกด*915654”
[2] แถลงการณ์ เรื่อง การระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด – 19) กับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมแถลงการณ์โดยคณะกรรมการสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เผยแพร่วันที่ 6 เมษายน 2563
Photo: มติชน
[:]