คดีพลทหารวรปรัชญ์: เจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิฯ ทำไมต้องเอาผิดผู้บังคับบัญชาด้วย?
ปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาในคดีพลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล เสียชีวิตหลังเข้ารับการเกณฑ์ทหารที่ค่ายนวมินทราชินี จ. ชลบุรี เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายโดยครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึก ให้จำคุกครูฝึกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 จำนวน 20 ปี ครูฝึกซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 จำนวน 15 ปี และผู้ช่วยครูฝึกอีก 11 คน คนละ 10 ปี ฐานกระทำความผิดตามมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่ระบุว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ… ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำทรมาน” และตามมาตรา 35 กำหนดโทษไว้ว่า “ผู้กระทำความผิดฐานทรมาน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 15 ปี …และถ้ากระทำความผิดจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษ 15 ถึง 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต…” นับเป็นคดีแรกที่ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษตามกฎหมาย ภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ หลังจากที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. นี้นานกว่า 2 ปี
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงขั้นแรกของการใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ในการป้องกันการทรมาน และคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของผู้เสียหาย เพราะต่อมา ครอบครัวของพลทหารวรปรัชญ์ได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ฝึกประจำหน่วยและผู้ช่วยผู้ฝึกประจำหน่วยฝึก ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาการฝึกทหารของค่ายนวมินทราชินี ในฐานความผิดตามมาตรา 42 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาผู้ใดทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตน จะกระทำหรือได้กระทำความผิด แต่ไม่ดำเนินการป้องกันหรือระงับ ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้”
“ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา” ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อรองรับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย ต่ออนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment – CAT) ที่ไทยเข้าเป็นภาคีเมื่อปี 2550 และอนุสัญญาสากลว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้สูญหาย (ICPPED) ซึ่งไทยได้เข้าเป็นภาคีเมื่อปี 2555
ในมาตรา 42 ของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาที่ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะกระทำความผิดฐานทรมานและกระทำให้สูญหาย แล้วไม่ดำเนินการป้องกันหรือระงับเหตุ หรือไม่ส่งเรื่องให้ดำเนินการสอบสวน จะต้องรับโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น” ซึ่งสะท้อนให้เห็นหลักการที่ว่า ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องป้องกันหรือระงับการกระทำผิดที่ตนเองรับทราบ และหากไม่ดำเนินการ จะถือว่ามีความผิดด้วย รวมทั้งเห็นถึงวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกำหนดความรับผิดของผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมการกระทำดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และปราบปรามการกระทำที่รุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
พันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ
แม้ว่าในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) จะไม่ได้มีมาตราแยกเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการบังคับบัญชา หรือความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา แต่อนุสัญญาฉบับนี้กำหนดให้รัฐภาคีมีพันธกรณีในการสร้างมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับหลักความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา เพื่อนำไปสู่การต่อต้านการทรมาน เช่น
มาตรา 4 ที่ให้พันธกรณีแก่รัฐภาคีในการบัญญัติกฎหมายภายในประเทศ ให้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี เป็นความผิดทางอาญา และห้ามไม่ให้มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
มาตรา 7 รัฐภาคีมีหน้าที่ดำเนินคดีหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดนแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทรมาน เพื่อให้เกิดหลักการพิจารณาคดีหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยให้รัฐที่ผู้กระทำความผิดอาศัยอยู่ เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการทางกฎหมาย หลักการนี้มีขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าผู้กระทำความผิดจะไม่สามารถหลบหนีจากการลงโทษได้ และจะถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะหลบหนีไปที่ใดก็ตาม
มาตรา 16 รัฐภาคีต้องดำเนินการป้องกันการทรมานหรือการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ที่เกิดขึ้นภายใต้เขตอำนาจของตน
เพราะฉะนั้น เมื่อไทยเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว รวมทั้ง ICPPED ไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการออกกฎหมาย ตามที่ให้สัตยาบันไว้ จึงเป็นที่มาของความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาในมาตรา 42 ใน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ นั่นเอง
หลักความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาในกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ (ICL)
ในกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Law) ซึ่งบังคับใช้ในบริบทของอาชญากรรมสงคราม, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการล้างเผ่าพันธุ์ มี “หลักความรับผิดชอบในการบังคับบัญชา” (Command Responsibility) หรือ “หลักความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา” (Superior Responsibility) เป็นหนึ่งในหลักการที่กำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่งต้องมีความรับผิดชอบสูงสุดต่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่น อาชญากรรมสงคราม, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งผู้นั้นเป็นผู้สั่งการหรือล้มเหลวในการป้องกันหรือลงโทษ เมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้น
หลักความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากการตัดสินคดีของนายพลโทโมยูกิ ยามาชิตะ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นที่ 14 ในฟิลิปปินส์ ในความผิดฐานกระทำการอันโหดร้ายอย่างกว้างขวาง ทั้งการฆาตกรรมหมู่และการทรมานพลเรือนชาวฟิลิปปินส์และชาวอเมริกัน รวมทั้งเชลยศึก โดยกองกำลังภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ยามาชิตะถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ในการควบคุมการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชา จนนำไปสู่การอนุญาตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาก่ออาชญากรรมสงคราม
การพิพากษาคดีของยามาชิตะกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาต้องมีความรับผิดทางอาญาต่ออาชญากรรมที่กระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชา แม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ออกคำสั่ง หรือรับทราบเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับอาชญากรรมนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม ในการพิพากษาคดี “เซเลบิซี” (Celebići) โดยศาลอาญาระหว่างประเทศของอดีตยูโกสลาเวีย เมื่อปี 2544 ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา โดยมีการสร้างความชัดเจนให้กับ “เจตนาทางอาญา” (Mens Rea) กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อเมื่อเขา “รับทราบ” หรือ “มีเหตุผลต้องรับทราบ” ว่ามีการก่ออาชญากรรมขึ้น
ต่อมา ในกรณีของศาลอาญาระหว่างประเทศของรวันดา (ICTR) ที่เกิดขึ้นภายหลังการสังหารหมู่ในรวันดา โดยผู้ถูกกล่าวหาในกรณีนี้ได้แก่ ฌอง-ปอล อาคาเยสุ (ผู้ว่าการ) และเคลมองต์ คายิเชมา (นายอำเภอ) และคำตัดสินของศาลชี้ให้เห็นว่า หลักการความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผู้บังคับบัญชาฝ่ายพลเรือน ที่มีอำนาจและควบคุมผู้กระทำความผิดตัวจริง เช่น ตำรวจ กองกำลังท้องถิ่น หรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นพลเรือนได้ ทำให้หลักการความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาถูกขยายให้ครอบคลุมไปถึง “ผู้ใดก็ตาม” ในตำแหน่งที่มีอำนาจ โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นตำแหน่งทางการของกองทัพหรือพลเรือน นำไปสู่การดำเนินคดีต่อบุคคลที่มียศตำแหน่งสูงในความขัดแย้งที่ไม่ใช่ความขัดแย้งทางกองทัพ
โดยทั่วไป หลักการความรับผิดชอบในการบังคับบัญชานี้ กำหนดความรับผิดทางอาญาบนพื้นฐานของการบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา หรือการกระทำโดยการละเว้น (a crime of omission) และจากพัฒนาการข้างต้น สามารถสรุปองค์ประกอบหลักของหลักการได้ ดังนี้
- ความสัมพันธ์แบบผู้บังคับบัญชา – ผู้ใต้บังคับบัญชา: ผู้บังคับบัญชาต้องมีอำนาจสั่งการและควบคุม (หรืออำนาจปกครองและควบคุม ในบริบทของพลเรือน) เหนือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ก่ออาชญากรรม
- เจตนาทางอาญา (Mens Rea): ผู้บังคับบัญชา “รู้เห็น” หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในขณะนั้น หรือ “ควรรู้เห็น” ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาก่ออาชญากรรมหรือกำลังจะก่ออาชญากรรม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บังคับบัญชาได้รับข้อมูลที่ทำให้ต้องรับทราบและสั่งการให้มีการสืบสวนต่อ แต่ไม่ทำ โดยองค์ประกอบนี้จะเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บังคับบัญชาจงใจเพิกเฉยต่ออาชญากรรม
- การบกพร่องต่อหน้าที่: ผู้บังคับบัญชาล้มเหลวในการออกมาตรการที่จำเป็นและสมเหตุสมผลภายใต้อำนาจของตัวเอง ในการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรม หรือล้มเหลวในการแจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของหน้าที่ในการป้องกันและปราบปราม
หลักการความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาเป็นเครื่องมือที่ใช้บังคับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยระบุหน้าที่เชิงบวกของผู้บังคับบัญชาทั้งฝ่ายกองทัพและฝ่ายพลเรือนอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ประกอบด้วยเป้าหมายหลัก ดังนี้
- ความรับผิดทางอาญาส่วนบุคคล: หลักการนี้เอื้อให้ผู้บังคับบัญชามีความรับผิดทางอาญาต่อการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะการล้มเหลวในการป้องกันหรือปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศ ที่กระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชา ถือเป็นการปิดช่องโหว่ไม่ให้บุคลากรระดับสูงหลบเลี่ยงการถูกดำเนินคดีจากอาชญากรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้นหรือสั่งการเป็นการส่วนตัว
- การป้องปราม: ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาต่อการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชามีเป้าหมายเพื่อยับยั้ง ป้องปรามไม่ให้ผู้บังคับบัญชาเพิกเฉยหรือให้อภัยต่อการกระทำทรมาน ซึ่งจะเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการก่ออาชญากรรมเช่นนี้ในอนาคต
- การปราบปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ: หลักการนี้เป็นเครื่องมืออันทรงพลังของนานาชาติในการปราบปรามการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ที่การก่ออาชญากรรมเป็นผลมาจากการควบคุมและภาวะผู้นำที่ล้มเหลว
“การลอยนวลพ้นผิด” ความท้าทายในการเอาผิดผู้บังคับบัญชา
การลอยนวลพ้นผิด ในที่นี้หมายถึง ความล้มเหลวในการนำตัวผู้นำระดับสูงของฝ่ายกองทัพหรือฝ่ายพลเรือนมารับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่กระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชา นับเป็นอุปสรรคสำคัญของการใช้หลักการความรับผิดชอบในการบังคับบัญชา
โดยทั่วไป เมื่อเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ก่อเหตุที่เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยมักจะอ้างว่าตน “แค่ทำตามคำสั่งจากเบื้องบน” ขณะที่ผู้บังคับบัญชามักจะอ้างว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง หรือไม่ทราบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น ดังนั้นหลักการความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาจึงทำหน้าที่ปิดช่องว่างนี้ โดยการลงโทษบนพื้นฐานของการยกเว้น (ความล้มเหลวในการป้องกันหรือลงโทษผู้กระทำความผิด) แทนที่จะลงโทษจากการก่ออาชญากรรมโดยตรง อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีองค์ประกอบหลักของความรับผิดชอบในการบังคับบัญชา เช่น อำนาจควบคุม หรือการรับทราบ ก็จะทำให้ผู้บังคับบัญชาลอยนวลจากการอนุญาตให้ก่ออาชญากรรมอย่างเป็นระบบได้
นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นผู้บังคับบัญชาที่มียศสูง ยิ่งสามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ยาก เนื่องจากผู้บังคับบัญชาเหล่านี้มักจะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งในเชิงที่ตั้งและเชิงการบริหาร ทำให้ยากที่จะได้รับหลักฐานที่จำเป็นในการพิสูจน์ว่าผู้บังคับบัญชาเหล่านี้รับทราบถึงการละเมิดที่เกิดขึ้น หรือมีอำนาจในการควบคุมหน่วยงานที่ก่ออาชญากรรม ขณะเดียวกัน การดำเนินคดีผู้บังคับบัญชาระดับสูงและบุคลากรทางการเมืองมักจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่บุคคลเหล่านี้บังคับการอยู่ ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้อาจไม่ให้ความร่วมมือในการจับกุม ส่งมอบเอกสารหลักฐาน หรือไม่ยอมเป็นพยาน ซึ่งนำไปสู่การลอยนวลพ้นผิดได้
จากภาระข้อกฎหมายที่ซับซ้อนดังกล่าวอาจทำให้ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสามารถรอดพ้นจากการดำเนินคดี และเมื่อมีการลอยนวลพ้นผิดเช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้การป้องปรามการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐอ่อนแอลงด้วย เช่น เมื่อเห็นว่าผู้บังคับบัญชาคนอื่นๆ รอดพ้นจากการรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้น ก็มีแนวโน้มที่การบังคับใช้ระเบียบหรือการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมนั้นๆ อ่อนแรงลง นำไปสู่บรรยากาศของการลอยนวลพ้นผิด ขณะที่อาชญากรรมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็ไม่สามารถป้องกัน ปราบปราม และยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้จริง

อินโฟกราฟิก: อัญมณี แก้วอะโข

![[PR]อัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม กรณียุติการสืบสวนเหตุชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกอุ้มหาย – ฆาตกรรม](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/24-12-68-1-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลกัมพูชาสั่งยุติการสอบสวนกรณีการบังคับสูญหาย “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/23-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ลงโทษจำคุก 1 ปี ครูฝึก 2 นาย กรณีพลทหารกิตติธร เสียชีวิตหลังเข้ารับการฝึกเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/18-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 5 นัดฟังคำพิพากษา กรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตหลังฝึกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/17-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]คืบหน้า! รมต. ยุติธรรมรับทราบกรณีส่งกลับ “อี ควิน เบดั๊บ” มอบหมายกรมคุ้มครองสิทธิฯ ดำเนินการต่อ](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/15-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)