ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง นานาประเทศต่างตระหนักถึงความเลวร้ายของสงครามและเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงไม่ให้เกิดขึ้นอีก หนึ่งในนั้นคือการต่อต้านการทรมาน ดังนั้นการห้ามการทรมานจึงไม่ใช่หลักการที่พึ่งเกิดขึ้นแต่มีวิวัฒนาการควบคู่กับสถานการณ์ทางสังคมและการพัฒนาแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของประชาคมโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ “การห้ามทรมาน” ได้กลายเป็นหลักสากลจนถึงปัจจุบันโดยถือเป็น Jus cogens หรือกฎหมายบังคับเด็ดขาด กล่าวคือ กฎเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับและยึดถือปฏิบัติมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นคุณค่าพื้นฐานในประชาคมระหว่างประเทศที่ไม่มีรัฐใดจะมีข้อยกเว้นไม่ปฏิบัติตาม 

หลักการไม่ทรมานนี้ยังปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายระหว่างประเทศทั้งในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ในข้อ 5  ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) รวมถึง ในข้อ 7 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อีกทั้ง ในบริบทประเทศไทยที่นอกจากจะเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญา CAT ยังมีการบัญญัติกฎหมายภายในที่กำหนดให้การทรมานเป็นความผิดอาญาอย่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 

 แม้ในทางหลักการจะยืนยันหนักแน่นว่าการทรมานเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แต่ในทางปฏิบัติมักปรากฏว่าในหลายประเทศยังคงมีการกระทำผิดเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างลับๆ 

หลักการห้ามทรมานถูกนำมาหยิบยกถกเถียงมากในเฉพาะช่วงหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา เมื่อกลุ่มอัลกออิดะห์ กลุ่มผู้ก่อการร้ายโจมตีอเมริกาต่อเนื่อง 4 เหตุการณ์ในวันที่ 11 กันยายน 2544 รวมถึงการนำเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ การโจมตีดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน สั่นคลอนเศรษฐกิจ และสร้างบรรยกาศความหวาดกลัวให้แก่ชาวอเมริกันและคนทั่วโลก เป็นเหตุให้รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช การตอบสนองต่อภัยก่อการร้ายดังกล่าว ด้วยการ ประกาศ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” (War on Terror)  

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเอาคืนและหยุดยั้งกลุ่มก่อการร้ายของรัฐบาลอเมริกาในขณะนั้น ปรากฏข้อมูลว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยใช้การทรมานในการสอบสวน ในช่วงเวลานี้เองทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้างถึงข้อยกเว้นของการห้ามทรมาน

อลัน เดอร์โชวิทซ์ (Alan Dershowitz) นักวิชาการด้านเสรีภาพพลเมือง คือ หนึ่งในบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนให้การห้ามทรมานสามารถมีข้อยกเว้นได้  อลันนำสถานการณ์ระเบิดเวลาจำลอง (Ticking Bomb Scenario) เพื่อเป็นการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการถกเถียงระดับจริยธรรมอีกครั้ง ว่าการทรมานอาจสามารถกระทำได้ในสถานการณ์ที่รุนแรงและจำเป็นจริงๆ1Forcese, C. (2008). The myth of the virtuous torturer: Two defences of the absolute ban on torture. Ottawa Law Review, 39(2), 355–388. หรือไม่ (อ้างอิงจาก Forcese, 2008, หน้า 860) เช่นในสถานการณ์ระเบิดเวลาจำลองที่สมมุติว่า

หากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ก่อการร้ายที่ใกล้จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และผู้ก่อการร้ายคนนี้จะเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นในการป้องกันการโจมตีก็ต่อเมื่อเขาถูกทรมานเท่านั้น คำถามคือ ในกรณีนี้จะสามารถทรมานได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการและงานวิจัยหลายชิ้นที่โต้แย้งข้อเสนอของอลันว่าแม้แต่ในเหตุการณ์สมมุติ การทรมานก็ยังคงเป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่สามารถกระทำได้  สมาคมป้องกันการทรมาน (Association for the Prevention of Torture) ได้เผยแพร่รายงาน “Defusing the Ticking Bomb Scenario: Why we mus say No to torture, always.”2Defusing the Ticking Bomb Scenario: Why we mus say No to torture, always. เพื่อให้เหตุผลโต้แย้งความเห็นที่ว่าการทรมานอาจกระทำได้ในกรณีระเบิดเวลาดังกล่าว

 รายงานโต้แย้งสถานการณ์ระเบิดเวลาจำลองโดยชี้ให้เห็นว่าที่มาของความคิดที่ทำให้คิดว่าการทรมานอาจยอมรับได้ในบางกรณีที่จำเป็นจริงๆ นั้น เป็นเพราะพวกเขาได้สร้างข้อสันนิษฐานบางอย่างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเบื้องหลังการสรุปเช่นนั้น และหากชำแหละข้อสันนิษฐานที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ออกมา อาจพบกับความเชื่อผิดๆ หรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทรมานที่ซ่อนอยู่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงได้นำข้อโต้แย้งจากรายงานของสมาคมป้องกันการทรมานมาสรุปเพื่อมาร่วมกันทบทวนความคิดและเน้นย้ำถึงสาเหตุที่ว่าทำไมการทรมานจึงไม่ควรเกิดขึ้นทุกกรณี

การเห็นด้วยว่าการทรมานสามารถได้รับการยกเว้นให้กระทำได้ในสถานการณ์จำเป็นอย่างยิ่งนั้น เป็นความคิดที่อาศัยอาศัยสมมุติฐานที่ซ้อนอยู่หลายชั้น

 “มีแผนก่อการร้ายที่ชัดเจนกำลังจะเกิดขึ้น”

เราอาจมีภาพจำจากในภาพยนตร์ ที่คนดูเห็นฉากของฝั่งผู้ร้ายกำลังเตรียมกระทำการบางอย่าง สลับกับภาพฝ่ายตัวเอกที่กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้ง ตัวละครเอกรู้ว่าตัวร้ายกำลังวางแผนอะไรบางอย่างแน่ และรู้ว่ากำลังดำเนินการตามแผนในช่วงเวลานั้นๆ ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นทันการณ์พอดิบพอดี คือ เพียงอีกนิดเดียวที่ตัวร้ายจะกดปุ่มระเบิด ตัวเอกก็สามารถเข้าถึงตัวคนทำและหยุดยั้งได้ทัน ในหนังทุกอย่างดูราบรื่นและประสบความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงมักไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าแผนการโจมตีเป็นอย่างไรตั้งแต่ต้นและมีลักษณะเฉพาะอย่างไร หรือแม้กระทั่งว่าจะมีการก่อเหตุหรือไม่

 “การโจมตีจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง”

สมมุติฐานดังกล่าวตามมาด้วยคำถามสำคัญคือ จะต้องใกล้แค่ไหนถึงจะเรียกได้ว่าใกล้จะเกิด ภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน หรือไม่กี่เดือน หากเหตุการณ์ยังไม่ใกล้พอ ก็ยังมีทางเลือกอื่นในการจัดการโดยไม่ต้องทรมานด้วยมาตรการอื่น เช่น การอพยพประชาชน หรือการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพและเคารพหลักสิทธิมนุษยชน หากมีเวลาพอที่จะใช้มาตรการอื่นๆ ที่อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการทรมาน เหตุผลในการทรมานก็จะหมดไปโดยปริยาย และหากใกล้เกินไป การทรมานก็อาจไม่ทันการณ์อยู่ดี 

 “การโจมตีจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก”

ไม่มีหลักชัดเจนว่า “ต้องกี่ชีวิต” ถึงจะถือว่าสมควรใช้การทรมานได้ จะต้องมีผู้ที่เชื่อได้ว่าอาจตกอยู่ในความเสี่ยงกี่คนจึงจะแลกกับการทรมานคนคนหนึ่งได้  10 คน? 100 คน? หรือ 1 คนก็เพียงพอ? การไม่มีจุดตัดที่ชัดเจนอาจเปิดช่องให้ใช้การทรมานในทุกกรณีอย่างไม่มีขีดจำกัด และไม่เป็นข้อยกเว้นอีกต่อไป 

 “ผู้ถูกควบคุมตัวเป็นผู้กระทำแน่นอน หรือเขามีข้อมูลที่จะช่วยหยุดการโจมตีได้”

ภาพจำในภาพยนตร์ของคนทั่วไปนั้น คนที่ถูกทรมานคือตัวร้ายที่อวดเก่งและท้าทายผู้สอบสวน ตัวเอกไม่เคยจับคนมาทรมานผิดตัว ไม่เคยมีคนบริสุทธิ์ถูกทรมานในหนัง แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์กลับตรงกันข้าม 

ในความเป็นจริง เราแทบไม่มีทางรู้ได้แน่ชัดว่าบุคคลนั้นมีส่วนจริงหรือมีข้อมูลจริงหรือไม่  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลายครั้งคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กลับตกเป็นเหยื่อการทรมานที่เลวร้ายที่สุด และกรอบของ “เป้าหมาย” ของบุคคลที่อาจสมควรถูกทรมานก็จะขยายไปเรื่อยๆ จากผู้ต้องสงสัย ไปจนถึงญาติหรือแม้แต่เด็กที่ไม่มีข้อมูลใดๆ 

นอกจากนี้งานวิจัยของ Amnesty International ยังชี้ให้เห็นว่า ผู้เสียหายจากการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายส่วนใหญ่ ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่กลับเป็น “ผู้ต้องสงสัย” ในคดีอาญาที่ยากจน เปราะบาง ไร้อำนาจ รวมถึงกลุ่มคนชายขอบที่ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อหรือสาธารณชน3Amnesty International. (2014). Five torture myths debunked. Retrieved from https://www.amnesty.org/en/latest/news/2014/06/five-torture-myths-debunked/

 “การทรมานจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา”

หนึ่งในสมมุติฐานสำคัญที่ทำให้การทรมานสามารถกระทำในบางกรณีฟังดูไม่แย่จนเกินไปนัก คือการคิดว่าการทรมานจะทำให้ได้ข้อมูลอย่างแน่นอน และมากไปกว่านั้นคือเชื่อว่าข้อมูลนั้นจะถูกต้อง การทรมานจึงฟังดูคุ้มค่าที่จะแลกกับความทุกข์ทรมานของอีกชีวิตหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหลักประกันใดๆ ที่จะสามารถยืนยันว่าข้อมูลที่ได้จากการทรมานจะถูกต้องได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว การมองว่าการทรมานคุ้มค่าและเหมาะสมจะยังเป็นความคิดที่สมเหตุสมผลอยู่หรือไม่ 

ในทางกลับกัน ผู้ก่อเหตุที่แท้จริงอาจผ่านการฝึกมาแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการทรมานอาจเป็นข้อมูลเท็จที่ตั้งใจให้หลงทาง ทั้งนี้มีหลักฐานปรากฏว่าบุคคลบางคนสามารถที่จะ “ฝึก” เพื่อทนต่อการทรมานได้4Bell, Jeannine (2008) ““Behind This Mortal Bone”: The (In)Effectiveness of Torture,” Indiana Law Journal: Vol. 83: Iss. 1, Article 8. ในขณะเดียวกันหากรัฐจะสามารถรับมือกับการฝึกเพื่อรับมือต่อการทนต่อการทรมานดังกล่าว นั่นหมายความว่าสังคมต้องสร้างมือทรมานอาชีพที่อัพเดตและมีวิวัฒนาการตลอดเวลา นำไปสู่การทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้างระบบการทรมานที่จะเบียดบังและเบี่ยงเบนงบประมาณ แทนที่จะใช้งบประมาณเพื่อวิธีการที่มีประสิทธิภาพกว่า ในการป้องกันภัย  นอกจากนี้ การทำให้การทรมานเป็นระบบยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของมนุษยชาติโดยรวม

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาการทรมานไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้มีข้อมูลที่ไม่ยอมให้ข้อมูล แต่เกิดจากผู้ต้องขังที่เป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลใดๆ ได้ เมื่อพวกเขาถูกทรมาน กลุ่มคนเหล่านี้มักโกหกหรือกล่าวอะไรก็ได้เพื่อให้ตนพ้นจากการทรมาน ในขณะที่การทรมานผู้มีข้อมูลถูกตัวอาจไม่ได้ทำให้เกิดคำโกหกมากไปกว่าการสอบสวนแบบปกติ แต่การทรมานผู้บริสุทธิ์กลับยิ่งสร้างข้อมูลที่ผิดพลาดจำนวนมากจากความต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดและทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน ในกรณีเช่นนี้การไม่ได้ข้อมูลใดๆ เลยยังดีกว่าการได้ข้อมูลเท็จมาทั้งหมด ในคู่มือการสอบสวนของ CIA ปี 1963 ยังมีการระบุไว้ว่าเมื่อได้ข้อมูลมาจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนเสมอ และเมื่อมีแต่ข้อมูลเท็จก็จะยิ่งต้องใช้เวลามากในการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเวลาจำกัดที่ทุกวินาทีมีค่า5Darius Rejali. (2007). 5 Myths About Torture and Truth. The Washington Post. Retrieved from https://www.washingtonpost.com/archive/opinions/2007/12/16/5-myths-about-torture-and-truth/9e484f7a-3878-421d-a111-59507b86c25e/ 

 “ไม่มีวิธีอื่นที่จะได้ข้อมูลทันเวลา และไม่มีวิธีอื่นในการหลีกเลี่ยงความเสียหาย”

ในทางปฏิบัติ ยังมีวิธีอื่นอีกมาก เช่น การใช้หมายค้น การดักฟัง หรือการสัมภาษณ์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการสอบสวนและการรวบรวมข้อมูล  ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่เป็นที่ยอมรับโดยหลักการสากลระหว่างประเทศ (Mendez Principles)6Association for the Prevention of Torture (n.d.). Principles on Effective Interviewing for Investigations and Information Gathering: The Méndez Principles. Retrieved from https://www.apt.ch/our-prioritiesfair-criminal-justice-systems/principles-effective-interviewing-investigations-andนอกจากนี้ ยังมีวิธีอีกมากในการหลีกเลี่ยงความเสียหาย อย่างการอพยพ การเตือนภัย หรือการป้องกันในรูปแบบอื่นๆ ที่ยังสามารถดำเนินการได้ 

อย่างไรก็ตามวิธีอื่นๆ มักถูกละเลยเพราะสมมติฐานถูกวางไว้ให้แคบเกินจริง กล่าวคือ ผู้กระทำทรมานมักตั้งสมมติฐานล่วงหน้าไว้มากเกินไปในการกระทำทรมาน และนั่นทำให้พวกเขาปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนปักใจเชื่อไว้  ดาริอุส เรจาลี (Darius Rejali) ผู้เขียนบทความ 5 Myths About Torture and Truth7Darius Rejal (เชิงอรรถ 5) ได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจริงในกรณี ชีลา แคสซิดี้ (Sheila Cassidy) แพทย์ชาวอังกฤษ ที่ถูกหน่วยงานลับของชิลีทรมานด้วยไฟฟ้าในช่วงทศวรรษ 1970 จนกระทั่งเธอยอมเปิดเผยชื่อของบาทหลวงที่เคยช่วยเหลือกลุ่มฝ่ายค้านสังคมนิยมของประเทศ แต่ผู้สอบสวนที่ทรมานเธอเป็นคนเคร่งศาสนา ทำให้เขาไม่เชื่อว่าบาทหลวงจะช่วยกลุ่มสังคมนิยมได้ ชีลาถูกทรมานต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ จนสุดท้ายผู้สอบสวนจึงยอมเชื่อ แต่ตอนนั้นเธอได้รับความเสียหายทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักจนไม่สามารถจำที่อยู่ของบ้านพักลับอันเป็นข้อมูลสำคัญได้อีกแล้ว

 “ผู้ทรมานมีเจตนาเพื่อหยุดยั้งเหตุร้ายอย่างเดียว”

 แม้เป้าหมายแต่ต้นของผู้ทรมานจะเป็นการเค้นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่การลงโทษ แต่ในความเป็นจริง ระหว่างการทรมาน อารมณ์ ความแค้น หรือความอยากเอาคืนอาจเกิดขึ้นและครอบงำได้ง่าย และอาจกลายเป็นแรงผลักดันหลักที่บิดเบือนเป้าหมายของการทรมาน จึงยากที่จะเชื่อได้อย่างเต็มเปี่ยมว่าแรงจูงใจของผู้กระทำจะบริสุทธิ์เสมอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด

 “นี่เป็นกรณีพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับกรณีอื่น”

การยกเว้นแม้เพียงครั้งเดียวไม่เคยหยุดอยู่แค่นั้น แต่กลับเปิดทางให้เกิดการใช้วิธีทรมานซ้ำบ่อยขึ้น สร้างบรรทัดฐานใหม่ และเลยเถิดสู่การใช้อย่างแพร่หลาย ในความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ใดจะถือว่าเหมาะสมต่อการทรมาน และจุดตัดอยู่ที่ใด แม้แต่จะเขียนกฎหมายยกเว้นให้จำกัดเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงประเด็นที่ว่า “ใคร” ควรยกเว้นให้สามารถถูกทรมานได้บ้าง เพราะไม่มีใครสามารถหาข้อยุติได้

การทรมาน ไม่ใช่แค่ผิด แต่ไม่เคยได้ผล

เครก ฟอร์ซีส (Craig Forcese) ได้สรุปข้อถกเถียงภายใต้สถานการณ์ระเบิดเวลาจำลอง ไว้ในงานศึกษา The Myth of the Virtuous Torturer: Two Defences of the Absolute Ban on Torture ว่า 

“การห้ามการทรมานโดยเด็ดขาดสามารถยืนยันได้อย่างสมเหตุสมผล ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘สถานการณ์ระเบิดเวลาจริงๆ’ นั้นพบได้ยากมาก และแทบไม่สามารถระบุได้อย่างถูกต้องในขณะที่มันเกิดขึ้น ส่วนกรณีที่เข้าใจผิด (false positives) กลับเกิดขึ้นบ่อยกว่า”

ในขณะที่สถานการณ์ระเบิดเวลาจำลองในเบื้องต้นอาจฟังดูน่าคล้อยตามและมีเหตุมีผลพอสำหรับ “ความชอบธรรมในสถานการณ์พิเศษอย่างยิ่ง” อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารอบด้านจะพบว่าสถานการณ์จำลองนี้ได้ตั้งสมมุติฐานที่ซ่อนอยู่เบื้องไว้หลายชั้นและและจำกัดกรอบเงื่อนไขของรูปแบบสถานการณ์จนแทบเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง

 หากหยิบสมมุติฐานแต่ละข้อขึ้นมาแยกแยะและพิจารณาจะพบว่า หลายประเด็นตั้งอยู่บนความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นต่อการทรมาน เช่น ความมั่นใจว่าผู้ถูกควบคุมตัวเป็นผู้กระทำแน่นอน ว่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องทันเวลา ว่าไม่มีวิธีอื่นและผู้ทรมานมีเจตนาบริสุทธิ์ เป็นต้น

ในทางกลับกัน โลกความเป็นจริงสะท้อนให้เห็นความเสี่ยงที่สูงกว่ามาก ทั้งการใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้บริสุทธิ์ การได้ข้อมูลเท็จ การสร้างผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายขอผู้ถูกทรมานอย่างไม่อาจเยียวยา การไม่สามารถช่วยเหลือหรือป้องกันภัยใดๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ การห้ามทรมานอย่างเด็ดขาดจึงเป็นหลักการที่ยังมีเหตุผลหนักแน่นทั้งในทางจริยธรรม ในทางกฎหมาย และเมื่อคำนึงถึงผลลัพธ์ในทางปฏิบัติ 

หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การทรมานไม่ได้ทำให้เราทุกคนในสังคมปลอดภัย

Author

  • นักเขียนฝึกหัด นักเรียนกฎหมาย และเป็ดที่ทำได้ทุกอย่าง ติดแกลมแต่มีความฝันอยากเป็นนักเล่าเรื่องและนักกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

    View all posts