“ให้ความจริงอยู่กับเราทุกที่” เมื่อการบังคับสูญหายยุติได้ด้วยการพูดความจริง

ย้อนไปเมื่อเดือนกันยายน 2567 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมร่วมกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ได้จัดงาน “แล้วเธอจะปลอดภัยที่ปลายทาง: ยุติการอุ้มหาย รับมือภัยปราบปรามข้ามชาติ” เนื่องในวันผู้สูญหายสากล 5 กันยายน โดยหนึ่งในกิจกรรมสำคัญ คือการเปิดตัวหนังสือ “ราคาของความจริง บันทึกการตามหาน้องชายและเส้นทางรณรงค์ยุติการบังคับสูญหายของสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนการจัดงานเพียงสองวัน กลับมีความพยายามจากหลายหน่วยงานในการปกปิดและเซ็นเซอร์กิจกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะความพยายามมิให้กล่าวถึงหรือจัดแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวกับวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ น้องชายของสิตานัน ซึ่งลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในประเทศกัมพูชา และถูกบังคับสูญหายในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563

เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวหนังสือ แต่เป็น “การเผยแพร่ความจริง” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 จึงเป็นความพยายามอีกครั้งของมูลนิธิ ในการเปิดเผยความจริงในมุมของผู้เสียหายอย่างสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการจัดงาน “The Price of Truth ให้ความจริงอยู่กับเราทุกที่” ซึ่งนอกจากจะเป็นงานเปิดตัวหนังสือราคาของความจริงแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงวันเฉลิม เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี ของการบังคับสูญหายของชายผู้มีเอกลักษณ์เป็นเสื้อฮาวายสีแดงผู้นี้ 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดวงเสวนาในชื่อ “ให้ความจริงอยู่กับเราทุกที่” ที่ไม่เพียงแต่พูดคุยในมุมของเจ้าของเรื่องราวและผู้จัดทำหนังสือเท่านั้น แต่วงเสวนายังพาผู้ชมก้าวข้ามประเด็นในหนังสือ ไปสู่การรักษา “ความจริง” เพื่อประโยชน์ของสังคมในระยะยาว ที่ต้องอาศัยทั้งบทบาทของรัฐและประชาชนทุกคน

“ราคาของความจริง” ที่ต้องจ่ายตลอด 5 ปี

“โอ๊ย ช่วยด้วย หายใจไม่ออก” เสียงสุดท้ายของต้าร์ – วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผ่านสายโทรศัพท์ทางไกลจากกรุงพนมเปญ ได้พลิกชีวิตของพนักงานออฟฟิศธรรมดาอย่างสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ในชั่วพริบตา จากประชาชนคนธรรมดา สู่การเป็น “พี่สาววันเฉลิม” ที่ต้องเดินทางตามหาน้องชาย ทั้งเดินสายเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ และเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา ดินแดนที่เธอไม่คุ้นเคย และใช้เวลาถึง 2 เดือนเต็มในกัมพูชาเพื่อยืนยันว่าน้องชายเคยอยู่ในกัมพูชา และถูกบังคับสูญหายไปในดินแดนแห่งนี้ รวมทั้งตามหาความจริงถึงเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ซึ่งสิตานันยอมรับว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา “ราคาของความจริง” นั้นช่างมหาศาล

เฉพาะเรื่องน้องชายถูกอุ้มหายไปบนรถตู้กลางวันแสกๆ ก็เป็นเรื่องที่เกินรับไหวแล้ว แต่น้ำหนักที่ทับถมผู้หญิงธรรมดาคนนี้ให้ยิ่งจมดิ่งในความทุกข์ คือความเฉยชาของหน่วยงานรัฐไทย ที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้

“วันที่เราโดน เราไม่รู้เลยว่าเราจะไปไหน แจ้งตำรวจก็แจ้งไม่ได้ เพราะเรื่องเกิดที่ต่างแดน เราก็มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะพึ่งใคร ในเมื่อเขาเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา เดินไปหน่วยงานไหน ทุกหน่วยงานที่มีในประเทศไทย ไม่ใช่ว่าเขาช้านะคะ แต่เขาไม่ทำ ซึ่งเรา ประชาชนตาดำๆ ต้องเก็บข้อมูลเองทุกอย่าง หาแม้กระทั่งทุกอย่างไปประเคนให้เขา มันก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย” สิตานันกล่าว

เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับหน่วยงานรัฐไทยเท่านั้น ในกัมพูชาเอง สิตานันก็ต้องเผชิญกับความผิดหวังจากท่าทีของกระบวนการยุติธรรมในกัมพูชา ซึ่งเธอใช้เวลา 2 เดือนเต็มในการตามหาหลักฐานทั้งหมดด้วยตัวเอง ขณะที่หน่วยงานรัฐที่มีทั้งเงินทุน ทรัพยากรบุคคล และข้อมูลต่างๆ กลับไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้ ในที่สุด เรื่องราวของเธอได้ขึ้นสู่ศาลแขวงของกัมพูชา และใช้เวลเราาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเดินทางไปกับสิตานันในครั้งนั้น กล่าวว่า

อยากให้ฝากบันทึกไว้ในบันทึกคำให้การว่าวันเฉลิมอยู่ที่กัมพูชา และหายไปที่กัมพูชา สองข้อเท็จจริงนี้มันไม่ได้ถูกบันทึก สุดท้าย สิ่งที่เขาถามและเจนก็ถูกห้ามไม่ให้พูดก็คือว่า เขาพูดเป็นภาษากัมพูชา ผ่านล่าม เพื่อให้เจนบอกกับเขาว่า ‘ที่มาร้องเรียนเนี่ย ต้องการเท่าไร’ เจนบอกว่า ที่มาร้องเรียนไม่ได้ต้องการการชดเชยทางแพ่ง แต่ต้องการทราบความจริงและอยากจะให้ศาลบันทึกความจริงที่เขาจะให้การ”

“สิ่งที่เราต้องการจะพิสูจน์มีแค่นี้เอง แต่มันไม่ถูกยอมรับโดยระบบศาลกัมพูชา และยิ่งไปกว่านั้น การหายไปก็ไม่ถูกยอมรับ หลักฐานมีเป็นปึ๊งเลยนะคะ แล้วเราก็จะต้องทำเป็นภาษาอังกฤษ ภาษากัมพูชา แล้วก็ภาษาไทย ด้วยความพยายามของทีม ข้อเท็จจริงสองข้อนี้ยังไม่เป็นทางการที่ไหนเลย” พรเพ็ญกล่าว  

วันเฉลิมเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวนมากที่เดินทางออกนอกประเทศไทยในช่วงหลังการรัฐประหาร เมื่อ พ.ศ. 2557 บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวไม่ได้ปกคลุมเฉพาะในแวดวงนักกิจกรรมทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังแผ่ไปยังวงการอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือสื่อมวลชน ซึ่ง วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรจาก Spokedark.TV ที่เป็นที่รู้จักจากการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และเป็นคนหนึ่งที่ต้อง “ระมัดระวัง” ในการสื่อสารจุดยืนของตนเองและสังกัด ถึงกระนั้น ตัวเขาเองก็ยังต้องเผชิญกับคดีความ ซึ่งมีคู่กรณีเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร

“การทำคอนเทนต์ด้วยความกลัวแบบนี้ หรือด้วยความกังวลแบบนี้ มันไม่ปกตินะครับ มันไม่ปกติครับ เรื่องนี้ถ้าเราเอาไปแชร์ให้ต่างชาติฟัง เขาก็จะเอ๊ะเป็นอย่างแรกเลยว่าอย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอ แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือว่าประเทศนี้มันไม่ปกติ”

“ที่น่าตลกมากก็คือ จนทุกวันนี้ ผมก็ยังรู้สึกว่ามันก็ยังเห็นการคุกคามอยู่นะ แล้วความรู้สึกของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ก็รู้สึกว่ายังมีความกดขี่อะไรสักอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถพูดได้ ไม่สามารถแสดงออกได้โดยตรง สิ่งเหล่านี้มันกดเราอยู่ และทำให้คนทำสื่อถึงทุกวันนี้ต้องคิดดีๆ ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป” วิญญูกล่าว

แม้ว่าปัจจุบันนี้ ประเทศไทยจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลพลเรือน แต่สำหรับวิญญูและหลายๆ คน บรรยากาศของเสรีภาพในการแสดงออกกลับยังมืดมน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

พรเพ็ญเสริมในประเด็นนี้ว่า ที่จริงแล้ว ประเด็นเรื่องการบังคับสูญหายนักกิจกรรมชาวไทยยังคงถูกพูดถึงอยู่ เพียงแต่ยังไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การบันทึกความจริง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการพูดความจริง ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลทหาร รัฐบาลพลเรือน หรือรัฐบาลข้ามขั้วใดๆ ก็ยังไม่สามารถสร้างความรู้สึกปลอดภัยในการพูดหรือบันทึกความจริงได้ในขณะนี้

คุณค่าของความจริง

ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการบันทึกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง พรเพ็ญกล่าวว่า การบันทึกประสบการณ์และข้อเท็จจริงจากมุมมองของผู้เสียหายมีความสำคัญมากต่องานด้านสิทธิมนุษยชน ไม่เพียงแต่เป็นการเรียบเรียงความคิด สะท้อนตัวตนของผู้เขียน เพื่อให้ดำเนินชีวิตในก้าวต่อไปเท่านั้น แต่ยังอาจจะเป็นจิ๊กซอว์ที่นำไปสู่โอกาสและความเป็นไปได้อื่นๆ ซึ่งอาจหมายรวมถึงการที่ผู้กระทำความผิดที่ได้สัมผัสความรู้สึกของผู้เสียหายจากการอ่านบันทึก และนำไปสู่การยอมรับผิดในที่สุด

ด้าน รศ. ดร. บุญเลิศ วิเศษปรีชา นักวิชาการด้านมานุษยวิทยา จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสนใจและมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นความทุกข์ทนทางสังคม (Social Sufferings) ได้สะท้อนมุมมองหลังจากได้อ่านหนังสือราคาของความจริงว่า ความทุกข์ทนทางสังคมนั้นมากเกินกว่าจะถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ และการที่สิตานันถ่ายทอดความรู้สึกออกมาในหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นความเข้มแข็งอย่างมาก

สิ่งสำคัญที่พี่เจน (สิตานัน) ได้สะท้อน คือความตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง นอกจากเรื่องความเข้มแข็ง อีกด้านหนึ่งก็คือความรู้สึกโกรธ และรวมไปถึงความเกลียดเพื่อนของต้าร์ด้วย ผมรู้สึกว่าเรื่องความโกรธ ความเกลียด คนที่ไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองจะรู้สึกว่าไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะเถียง แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย! คุณจะรู้สึกญาติดีกับคนที่มีส่วนกับเรื่องนี้ได้เหรอ ผมคิดว่าเป็นส่วนที่น่าสนใจ”

ใจความหนึ่งในหนังสือที่บุญเลิศมองว่าน่าสนใจ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สิตานันยังคงยืนหยัดตามหาความจริงและทวงความยุติธรรมให้กับน้องชายและครอบครัว คือจุดที่บอกว่า “เราคิดเสมอว่า ‘มึงทำกับแปดคนก่อนหน้านี้แล้วเรื่องเงียบ แต่ไม่ใช่กับกู กับน้องกู กับครอบครัวกู’”

“ผมคิดว่าความสูญเสียของต้าร์ คือความสูญเสียของเราด้วย” บุญเลิศกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการสูญเสีย แต่ในอีกทางหนึ่ง การหายตัวไปของวันเฉลิมเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนักถึงพิษภัยของการบังคับสูญหาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ การที่สังคมจับตามองประเด็นนี้จึงอาจทำให้การบังคับสูญหายไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่รัฐจะนำมาใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง บุญเลิศตั้งข้อสังเกตว่า การที่สิตานัน “ปักธง” ว่าจะไม่อยู่เงียบๆ และเลือกเล่าเรื่องราวการหายตัวไปของน้องชายสู่สาธารณะ เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ เพื่อประกาศตามหาวันเฉลิม 

“ผมคิดว่าการยืนเคียงข้างแบบนี้ อย่างน้อยมันทำให้มันไม่ลามไปถึงคนอื่น แน่นอนว่าบรรยากาศมันไม่ได้ดีขึ้น แต่คุณูปการสำคัญคือมันหยุด มันไม่โดมิโนไปหาใครเรื่อยๆ ผมคิดว่าสิ่งที่พี่ทำอยู่มันมีคุณค่าและมีความหมายมาก” บุญเลิศกล่าว

ขณะที่การบังคับสูญหายเป็นราคาที่ประชาชนต้องจ่ายจากการพูดความจริงที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ บุญเลิศชี้ว่า ที่จริงแล้ว ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องเป็นคนจ่ายให้กับชีวิตที่ถูกทำให้สูญหาย โดยการถูกดำเนินคดีและพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ วัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบังคับสูญหายยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจตัวจริงไม่เคยถูกเอาผิด และสามารถอยู่รอดไปกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ผู้ที่ถูกจับกุมตัวมักจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเท่านั้น

“การที่เราไม่สามารถลงโทษคนที่กระทำความผิด มันทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำๆ แต่อย่างน้อยที่สุด การลุกขึ้นสู้ก็ทำให้การพูดเรื่องความจริงกลายเป็นกระแสได้” บุญเลิศระบุ

นอกจากนี้ บุญเลิศกล่าวว่า ชื่อของหนังสือเล่มนี้ควรเปลี่ยนจาก “ราคาของความจริง” เป็น “คุณค่าของความจริง”

“มันเป็นคุณค่าของการค้นหาความจริง สำหรับผู้เสียหาย มากกว่าการได้ค่าชดเชยคือการทราบความจริง การทำให้สังคมตระหนักว่าเขาคือเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ มันไม่ใช่การบิดเบือน แต่มันคือคุณค่าของความจริง”

ด้านวิญญูก็ทิ้งท้ายไว้ว่า ประชาชนคนไทยทุกคนล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ และอดทนต่อการถูกกระทำซ้ำๆ มาเสมอ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ทุกคนไม่ช่วยกันก็ยากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
“คนที่อยู่ทางบ้านตอนนี้ คนที่อยู่ในงานตอนนี้ ผมก็เข้าใจว่าเจอกันความผิดหวังหลายอย่าง เจอกับความเจ็บปวดหลายอย่าง เสียใจ เสียความรู้สึกอะไรหลายอย่าง ยังไม่สายเกินไปหรอกครับ ที่เราจะช่วยกันส่งเสียงกันต่อ วันนี้ผมขอแล้วกันว่า ช่วยกันส่งเสียงเพื่อให้เรื่องนี้กระจายไปในสังคมให้มากขึ้น แล้วก็ถูกพูดถึงให้มากขึ้นที่สุด” วิญญูกล่าว

Author

  • บรรณาธิการและนักเขียนผู้เชื่อในสิทธิเสรีภาพและพลังของการเล่าเรื่อง มีดนตรีเมทัลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และกาแฟเป็นอาหารหลัก

    View all posts