“สิทธิในการรักษาความทรงจำของเหยื่อ หลายคนพยายามที่จะทำให้เขาลืม หลายคนพยายามที่จะขัดขวาง พยายามที่จะสอดแนมไม่ให้มีการจัดงานรำลึกต่างๆ ซึ่งดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐพยายามทำลายความทรงจำของเหยื่อ ลูกๆ ของดิฉันเคยพูดเสมอนะคะว่า สิ่งที่พวกเรากลัวมากที่สุดก็คือ เรากลัวว่าเราจะลืมพ่อ และถ้าเราไม่ลืม การดิ้นรนต่อสู้ของเราก็ยังอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราลืม และเรายอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เมื่อนั้นเราก็จะไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีคนหาย และหาความจริงให้กับคนที่หายไปแล้วได้อีก”

ส่วนหนึ่งของปาฐกถาโดยอังคณา นีละไพจิตร ในงาน “Echoes of Hope: ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง” ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
อังคณาเป็นหนึ่งในผู้เสียหายจากการบังคับสูญหาย โดยในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547 สมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน สามีของอังคณา ถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งบังคับนำตัวขึ้นรถต่อหน้าผู้คนมากมายในย่านรามคำแหง และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย
สมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่ทุ่มเทชีวิตทำงานเพื่อปกป้องหลักกฎหมายและความยุติธรรม เขาเป็นผู้หนึ่งที่เคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิทธิของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู รวมถึงผู้ที่เป็นผู้เสียหายจากการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ และวิพากษ์วิจารณ์การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลงานหนึ่งของเขา คือการเป็นทนายว่าความให้กับผู้ต้องหาคดีปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส เมื่อ พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเชื่อกันว่าการรับเป็นทนายให้กับผู้ต้องหากลุ่มนี้ ทำให้สมชายต้องถูกบังคับสูญหายในที่สุด

เช่นเดียวกับคดีอุ้มหายอื่นๆ คดีของทนายสมชายต้องเผชิญกับอุปสรรคและความไม่ชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมตลอดมา แม้จะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างมาก โดยไม่นานหลังจากที่สมชายหายตัวไป มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ทว่าใน พ.ศ. 2558 ศาลพิพากษาให้ยกฟ้องคดี เนื่องจากครอบครัวของทนายสมชายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่อยู่ของทนายสมชาย ทำให้ไม่สามารถเป็นโจทก์แทนทนายสมชาย และมีคำพิพากษาที่ปฏิเสธสิทธิในการยื่นฟ้องคดีต่อศาล
ต่อมาใน พ.ศ. 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ประกาศปิดคดีทนายสมชาย โดยให้เหตุผลว่าไม่พบผู้กระทำความผิด และใน พ.ศ. 2565 ศาลอาญามีคำสั่งระงับการให้ความคุ้มครองพยานต่ออังคณา เนื่องจากเห็นว่าคดีเกี่ยวกับหายตัวไปของทนายสมชายได้รับการพิจารณาจนเสร็จสิ้นไปนานแล้ว
คดีการอุ้มหายทนายสมชาย ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของการบังคับสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่ระหว่างทางยังเต็มไปด้วยกระบวนการสร้างอคติต่างๆ ทั้งการกล่าวหาว่าทนายสมชายเป็น “ทนายโจร” จากการช่วยเหลือผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพยายามลดทอนความสำคัญของคดี เช่น การให้ข่าวว่าทนายสมชายทะเลาะกับภรรยาแล้วหนีไป รวมทั้งในการเคลื่อนไหวของอังคณา เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามี ยังทำให้เธอตกเป็นเป้าโจมตีและถูกข่มขู่ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่องด้วย เพราะฉะนั้น การบังคับสูญหายจึงไม่ใช่แค่การทำให้คนคนหนึ่งหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบให้กับ “คนข้างหลัง” มากมายอย่างที่หลายคนไม่อาจคาดคิด
เป็นเวลา 21 ปีแล้ว ที่ครอบครัวยังไม่ทราบชะตากรรมของทนายสมชาย และแม้จะยังไม่มีความหวังที่จะพบกันอีกครั้ง แต่อังคณาและครอบครัวก็ยังคงเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาเรื่องการบังคับสูญหาย และในขณะที่เธอถ่ายทอดเรื่องราวของสามีและพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัว เธอได้เรียนรู้ประสบการณ์ของผู้เสียหายรายอื่นๆ และเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายทุกคนที่ถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และปัจจุบัน เธอเป็นสมาชิกของคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยบังคับหรือไม่สมัครใจ
นอกจากจะทราบชะตากรรมของผู้เป็นที่รักในสักวัน เธอหวังว่าผู้คนจะไม่ลืมเรื่องราวของทนายสมชาย เพราะการจดจำคือการยืนยันว่าคนผู้นั้นมีตัวตน และยังเป็นการยืนยันว่าคนข้างหลังยังคงต้องสู้ต่อ เพื่อความเป็นธรรมและความทรงจำที่มีต่อคนที่พวกเขารัก





