เผยแพร่วันที่ 24 มกราคม 2563
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเรื่องการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก โดยคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดส่งเอกสารเพิ่มเติม (Additional Information) ต่อศูนย์มรดกโลก ภายในวันที่ 31 มกราคม 2563 เพื่อเร่งดำเนินการเสนอขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกอีกครั้ง โดยเอกสารฉบับนี้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า รัฐบาลได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและข้อห่วงกังวลของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมเชื้อสายกะเหรี่ยงในพื้นที่แก่งกระจานและได้รับการสนับสนุนจากชุมชนต่างๆให้ขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกหนังสือถึงผู้อำนวยการศูนย์มรดกโลกเพื่อเชิญผู้แทนจากสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (International Union for Conservation of Nature หรือ IUCN) ในฐานะองค์กรที่ปรึกษาทางธรรมชาติของคณะกรรมการมรดกโลกให้เข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน
ขณะเดียวกันในวันที่ 24 ธันวาคม 2562 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้นำชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมเชื้อสายกะเหรี่ยงจาก 10 ชุมชน ได้แก่ บ้านบางกลอย บ้านโป่งกะทิง บ้านตากแดด บ้านหินสี บ้านลิ้นช้าง บ้านท่าเสลา บ้านห้วยเกษม บ้านพุน้ำร้อน บ้านสาริกา และบ้านห้วยกระซู่ ลงนามโดยผู้นำชุมชนจำนวน 59 รายชื่อ โดยชุมชนดังกล่าวเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลากว่า 100 ปีก่อนการประกาศให้ผืนป่านี้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติในปัจจุบัน โดยภายหลังประกาศของกรมอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้านได้ถูกจับกุมดำเนินคดี บิลลี่-ผู้นำถูกคุกคาม ถูกฆาตกรรมและถูกบังคับให้สูญหาย และชาวบ้านถูกบังคับโยกย้ายบ้านเรือนและให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ดั้งเดิม รวมทั้งสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิชุมชนได้ถูกละเมิดอย่างรุนแรง
ผู้นำชุมชนเชื้อสายกะเหรี่ยงทั้ง 59 คนได้แสดงความเห็นและลงรายชื่อในหนังสือร้องเรียนเปิดผนึกฉบับที่แนบมานี้ โดยเห็นว่ารัฐบาลไทยยังไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชุมชนและชาวกะเหรี่ยงตามมติของที่ประชุมกรรมการมรดกโลกตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ได้กล่าวอ้าง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการโดยขอให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามมติของคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในชุมชนเชื้อสายกะเหรี่ยงดั้งเดิม และเคารพอย่างแท้จริงต่อสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ดังกล่าว
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การเร่งรัดกระบวนการในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกดังกล่าวถือว่าไม่ตรงกับเจตนารมณ์มติของคณะกรรมการมรดกโลกจากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 43 ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2562 โดยในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการมรดกโลกไม่รับรองการขึ้นทะเบียนกลุ่มผืนป่าแก่งกระจานของไทยเป็นมรดกโลกเพราะมีข้อท้วงติงรัฐไทย 3 ข้อ ดังนี้ ข้อ 1) รัฐดำเนินการเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทยและเมียนมา ข้อ 2) ให้ทำข้อศึกษาเปรียบเทียบเรื่องขอบเขตพื้นที่ที่ลดลงว่ายังอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามระเบียบข้อที่ 10 เรื่องความสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่หรือไม่ ข้อ 3) ให้ทำข้อห่วงกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนชุมชนรวมทั้งชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ การออกมติดังกล่าวมาจากความตั้งใจของคณะกรรมการที่จะให้เวลากับรัฐบาลไทยกลับไปทำงานอย่างจริงจังกับชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองท้องถิ่นในผืนป่าแก่งกระจานเป็นเวลาสามปี แต่นอกจากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชนเผาพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงตามที่คณะกรรมการมรดกโลกแนะนำแล้ว กลับรวบรัดเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนมรดกโลกอีกครั้งหนึ่ง
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้พิจารณาจดหมายของผู้นำชุมชนเชื้อสายกะเหรี่ยง ประกอบกับบริบทของการออกมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 21
มกราคม 2563 และมีความกังวลว่า รัฐบาลไทยยังมิได้ดำเนินการตามคุ้มครองและฟื้นฟูสิทธิของชาวบ้านในพื้นที่ผืนป่าแก่งกระจานแลเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน มีส่วนร่วมในการพูดคุย ปรึกษาหารือและตัดสินใจเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ดังที่คณะกรรมการมรดกโลกได้ท้วงติงไว้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามที่ผู้นำชุมชนกะเหรี่ยงเสนอไว้ในหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ ดังต่อไปนี้:
1) รัฐต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิชุมชนดั้งเดิมและสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงอย่างจริงจัง
2) รัฐต้องให้ชาวบ้านกะเหรี่ยงสามารถอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิมและสามารถดำรงชีวิตตามวิถีดั้งเดิมของตนได้
3) รัฐต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง
4) รัฐต้องให้ชาวบ้านจัดการพื้นที่ของตนเอง ตามสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม
5) รัฐต้องออกบัตรประชำตัวประชาชน และออกเอกสารสิทธิให้แก่ชาวบ้าน
6) รัฐต้องให้ชาวกะเหรี่ยงดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น การทำไรหมุนเวียน เป็นต้น
7) รัฐต้องยุติการจับกุม บังคับ ข่มขู่ เผาบ้าน ชาวบ้านในผืนป่าแก่งกระจาน
มูลนิธิฯจึงขอให้องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามคำร้องของผู้นำชุมชนตามที่ได้ระบุไว้ข้างต้น ตามหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชาวบ้านกะเหรี่ยงในผื่นป่าแก่งกระจานต่อไป
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม โทร.081-642-4006

