CrCF ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ กรณีส่งกลับ “อี ควิน เบดั๊บ” ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม หวั่นละเมิดหลักการ กระทบภาพลักษณ์ หวังนายกฯ ยุติการส่งกลับ

วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2568) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กรณีการส่งกลับนายอี ควิน เบดั๊บ (Y Quynh Bdap) ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุติการส่งกลับนายเบดั๊บไปเผชิญอันตราย ซึ่งการส่งตัวนายเบดั๊บอาจเป็นการละเมิดมาตรา 13 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565  หลักการทางสิทธิมนุษยชน และจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ในวันเดียวกัน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายเบดั๊บได้ยื่่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเช่นกัน เรื่อง ขอให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ กฎหมายระหว่างประเทศ กติการะหว่างประเทศ และระงับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและขอให้ส่งตัวไปประเทศที่สาม 

กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ศาลอุทธรณ์อ่านคําพิพากษาคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนของนายอี ควิน เบดั๊บ ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยศาลมีคำสั่งยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ส่งกลับนายเบดั๊บ ไปยังประเทศเวียดนาม

มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 กำหนดว่า ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และรัฐบาลไทยพิจารณาให้ส่งบุคคลนั้นแล้ว จึงจะเข้าสู่กระบวนการส่งตามขั้นตอน ดังนี้หากรัฐบาลไทยไม่พิจารณาให้ส่งภายใน 90 วัน ตามมาตรา 20 ก็ให้ปล่อยบุคคลนั้นได้ ซึ่งตามกฎกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ฉบับ พ.ศ. 2553 ได้ระบุไว้ด้วยว่า ข้อ 7 (2) วรรคท้าย “ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า คำร้องขอดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือมีเหตุผลอื่นที่ไม่อาจดำเนินการให้ได้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็นนั้นพร้อมคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว

ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีอำนาจในการบริหารโดยตรง สามารถยุติการส่งกลับนายเบดั๊บ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยยังคงรักษาไว้ซึ่งหลักนิติธรรม ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในเวทีประชาคมระหว่างประเทศ การเคารพหลักการห้ามผลักดันไม่ให้ผู้ลี้ภัยกลับไปเผชิญอันตราย ซึ่งเป็นหลักการสากลที่นานาอารยประเทศยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด  การปฏิบัติต่อกันระหว่างสองประเทศที่เป็นไปในลักษณะต่างตอบแทนนั้นหากเป็นไปเพื่อการกดปราบข้ามชาติ (Transnational Repression) ถือว่าเป็นการต้องห้าม ถ้ารัฐบาลไทยไม่ส่งกลับนายเบดั๊บ กลับไปประเทศไทยก็จะได้รับความเชื่อมั่นด้านเรื่องสิทธิมนุษยชนกลับมาอีกครั้ง 

นายอี ควิน เบดั๊บ ชาวเวียดนาม วัย 32 ปี เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งมีบทบาทนำในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพการนับถือศาสนาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ และถูกรัฐบาลเวียดนามตั้งข้อหาก่อการร้ายจากเหตุจลาจลเมื่อปี 2566 แม้ว่าเขาให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว และอ้างว่าการเคลื่อนไหวด้านสิทธิของเขาเป็นการกระทำโดยสงบและไม่มีความรุนแรง

เบดั๊บลี้ภัยมายังประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561 และได้รับสถานะผู้ลี้ภัย และการคุ้มครองระหว่างประเทศจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees – UNHCR) 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 เบดั๊บถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจับกุม โดยอ้างว่ามีคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและศาลในประเทศเวียดนามมีคำพิพากษาลงโทษนายเบดั๊บฐานก่อการร้ายจากเหตุจลาจลเมื่อปี 2566 ในจังหวัดดั๊กลัก 

คดีดังกล่าวได้รับความสนใจและถูกจับตาจากนานาชาติตลอดมาและกรณีนี้จะเป็นบททดสอบว่าประเทศไทยจะเลือกที่จะดำเนินการในทางที่อาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศหรือไม่ อันจะเป็นการขัดกับการที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมย์และจุดยืนอย่างต่อเนื่องและชัดเจนต่อประชาคมโลกตลอดและในฐานะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ 

รัฐบาลไทยมีอำนาจที่จะระงับการส่งนายเบดั๊บกลับประเทศเวียดนามและต้องเปิดโอกาสให้นายเบดั๊บเดินทางลี้ภัยไปประเทศที่สาม เพื่อเป็นการรับประกันว่านายเบดั๊บจะไม่ถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือ ถูกกระทำให้สูญหาย หรือถูกประหารชีวิต

Author