ในช่วงเวลากว่า 4 ทศวรรษของการแข่งขันกันระหว่างสองขั้วอำนาจทางการเมืองอย่างประเทศฝ่ายเสรีประชาธิปไตย นำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่นำโดยโซเวียตและจีน ที่เรียกกันทั่วไปว่า “สงครามเย็น” ซึ่งเกิดขึ้นราวปี 1947 และสิ้นสุดลงในช่วงปี 1991 นับเป็นยุคสมัยที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางโดยรัฐบาลเผด็จการทั้งสองขั้วการเมือง โดยมีประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายคอยหนุนหลัง เช่น กรณีของรัฐบาลเผด็จการในลาตินอเมริกาและเอเชีย ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และใช้เหตุผลเรื่องการปราบปรามคอมมิวนิสต์เป็นเครื่องมือในการกวาดล้างผู้เห็นต่างทางการเมือง ด้วยวิธีการที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่น การทรมาน การบังคับสูญหาย การสังหารหมู่ หรือการล้างเผ่าพันธุ์ เป็นต้น
“การทรมาน” นับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบและแพร่หลายโดยรัฐบาลหลายประเทศในยุคสงครามเย็น ทั้งเพื่อรีดคำสารภาพหรือข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และสร้างความหวาดกลัวให้กับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านรัฐ จึงอาจเรียกได้ว่า การทรมานไม่เพียงแต่ละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและสิทธิในชีวิตของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชนและประชาชนอีกด้วย
“ระบอบตรูฮิโย” สาธารณรัฐโดมินิกัน (1930–1961)
สาธารณรัฐโดมินิกันอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำเผด็จการอย่างราฟาเอล เลโอนิดาส ตรูฮิโย (Rafael Leonidas Trujillo) หรือ “ระบอบตรูฮิโย” นานถึง 3 ทศวรรษ ก่อนที่ตรูฮิโยจะถูกลอบสังหารและเสียชีวิตในปี 1961 ตลอดสมัยของเขา การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายถือเป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์ของระบอบตรูฮิโย โดยเครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบในการรักษาอำนาจของตัวเองและทำลายผู้เห็นต่างทางการเมือง

ระบอบตรูฮิโยมีการจัดตั้งกองกำลังที่เรียกว่า หน่วยข่าวกรองทางทหาร (SIM) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข่าวกรอง และจับตามองประชาชนผ่านเครือข่ายสายลับ การเซ็นเซอร์สื่อ รวมทั้งการจองจำ ทรมาน และฆาตกรรมฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและครอบครัว รวมทั้งใช้กลยุทธ์เหล่านี้ในการแพร่กระจายความกลัวในหมู่ประชาชนทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง “ศูนย์ทรมาน” ในเรือนจำ เช่น เรือนจำลา กวาเรนตา (La Cuarenta หรือ La 40) เป็นเรือนจำที่มีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางของการทรมานอย่างเป็นระบบ ซึ่งในแต่ละวันจะมีการนำนักโทษการเมือง รวมถึงสมาชิกขบวนการต่อต้านรัฐ อย่างขบวนการ 14 มิถุนายน (14th of June Movement) มาคุมขังและทรมานด้วยการทุบตีและตัดอวัยวะ ช็อตไฟฟ้า บังคับให้นักโทษดูการทรมานเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว ข่มขู่ครอบครัวของผู้เห็นต่าง ความรุนแรงส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้โหดร้ายเป็นพิเศษ เพื่อส่งสารที่ชัดเจนและน่าหวาดกลัวเกี่ยวกับผลของการไม่จงรักภักดีหรือคิดต่างจากรัฐ ทำให้ตรูฮิโยสามารถครองอำนาจได้นานกว่า 3 ทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม การทรมาน การบังคับสูญหาย และการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม ที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบตรูฮิโย ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ผู้นำทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐเท่านั้น แต่ยังใช้อย่างกว้างขวางกับผู้ใดก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่ออำนาจรัฐ
ความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโก (UNESCO Memory of the World Register) ระบุว่า ตลอด 3 ทศวรรษของการปกครองโดยตรูฮิโย มีประชาชนชาวโดมินิกันเสียชีวิต ถูกจำคุก และทรมาน จำนวนหลายพันคน ขณะที่นักประวัติศาสตร์และนักสิทธิมนุษยชนระบุว่า มีผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกสังหาร ประหารชีวิต และถูกบังคับสูญหายมากกว่า 5,000 คน และในการสังหารหมู่พาร์สลีย์ เมื่อปี 1937 มีชาวเฮติถูกสังหารราว 1,000 – 30,000 คน
สงครามสกปรก (Dirty War) อาร์เจนตินา (1976 – 1983)
สงครามสกปรก (Dirty War) หมายถึงยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวที่สร้างโดยเผด็จการทหาร ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “ขบวนการปรับโครงสร้างแห่งชาติ” (National Reorganization Process) คณะรัฐประหารดังกล่าวได้สนับสนุนการใช้ความรุนแรงเพื่อกำจัดผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะการทรมาน โดยสร้างเครือข่ายศูนย์คุมขังแบบลับ ทรมาน และกวาดล้าง (CCDTyE) ที่มักจะซ่อนตัวอยู่ในค่ายทหาร สถานีตำรวจ หรือบ้านพักส่วนตัว

ตลอดยุคสมัยของสงครามสกปรก มีประชาชนกว่าหมื่นคนถูกลักพาตัวและคุมขังอย่างผิดกฎหมาย กลุ่มคนเหล่านี้เรียกว่า “บุคคลสูญหาย” (Los Desaparecidos) ซึ่งทันทีที่พวกเขาถูกจับกุม จะถูกคลุมหัวและใส่กุญแจมือทันที ก่อนที่จะถูกนำตัวไปยังศูนย์ CCDTyE โดยที่รัฐมักจะปฏิเสธการรับรู้เกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา ทำให้บุคคลเหล่านี้กลายเป็นบุคคลสูญหายในที่สุด
การทรมานถูกใช้อย่างเป็นระบบเพื่อการสอบสวน การข่มขู่ และสร้างความหวาดกลัว โดยวิธีการส่วนใหญ่ที่ใช้ ได้แก่ การใช้ไฟฟ้าช็อต และการกรอกน้ำ (Waterboarding) ควบคู่กับการทรมานทางจิตใจ เช่น การบังคับเปลือยกาย การอยู่ในสภาพแออัด และการใช้วาจาเหยียดเชื้อชาติ นอกจากนี้ ยังมีการกระทำที่โหดร้ายขั้นสูงสุดอย่างการฆาตกรรมด้วยวิธีที่เรียกว่า “เที่ยวบินมรณะ” (Death Flights) ซึ่งมีการวางยาผู้เสียหายเพื่อนำตัวขึ้นเครื่องบิน และโยนลงมหาสมุทรแอตแลนติก หรือแม่น้ำเพลต
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการทรมานส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรม “บ่อนทำลาย” หรือเป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือมีอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐบาล เช่น สมาชิกขององค์กรกองโจรฝ่ายซ้าย ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักในชื่อ Montoneros และกองทัพปฏิวัติของประชาชน (People’s Revolutionary Army – ERP) นักกิจกรรมทางการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย หรือพรรคฝ่ายค้าน องค์กรสิทธิมนุษยชน ปัญญาชน นักเขียน สื่อมวลชน ศิลปิน และนักวิชาการ ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือเรียกร้องความยุติธรรมในสังคม บุคลากรด้านศาสนาที่สนับสนุนคนยากจนหรือผู้ที่มีส่วนในการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมในสังคม ครอบครัว ญาติ เพื่อน และเพื่อนร่วมงานของนักกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งมักจะถูกลักพาตัวและทรมานเพื่อรีดข้อมูล รวมทั้งสมาชิกสหภาพแรงงานและองค์กรด้านแรงงาน ซึ่งคิดเป็นราวครึ่งหนึ่งของผู้เสียหายทั้งหมด เนื่องจากกองทัพมักจะมองว่าแรงงานจัดตั้งเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่สำคัญ
นอกจากนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศและการรุมโทรม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการทรมานในศูนย์ควบคุมตัวลับ และยังมีกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์ควบคุมตัวจนกระทั่งคลอดลูก โดยส่วนใหญ่จะถูกสังหารทันที ส่วนลูกของพวกเธอจะถูกนำไปมอบให้กับครอบครัวของทหารหรือตำรวจเป็นผู้ดูแล ส่งผลให้มีเด็กสูญหายในขณะนั้นราว 500 คน
สำหรับตัวเลขของผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในช่วงสงครามสกปรก มีผู้ที่ถูกสังหารหรือถูกบังคับสูญหายราว 10,000 – 30,000 คน อย่างไรก็ตาม ในรายงานชื่อ Nunca Más (Never Again) ที่ตีพิมพ์ในปี 1984 โดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยบุคคลสูญหาย (National Commission on the Disappeared หรือ CONADEP ระบุว่า มีผู้ถูกบังคับสูญหายอย่างน้อย 8,961 คน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนถูกควบคุมตัวอย่างผิดกฎหมายและถูกทรมาน
กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ (Stasi) ในเยอรมนีตะวันออก ทศวรรษ 1970s–1980s
ไม่ใช่แค่รัฐเผด็จการที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รัฐที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน (German Democratic Republic – GDR) ก็มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ ผ่าน “กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ” (Ministry for State Security – Stasi)

ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติได้พัฒนาระบบการทำสงครามจิตวิทยาที่เรียกว่า “เซอร์เซ็ตซุง” (Zersetzung) หรือ “การบ่อนทำลาย” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการทรมานทางจิตใจ ใช้ในการปราบปรามบุคคลที่ตกเป็นเป้า โดยเน้นการทำลายสภาพจิตใจ สถานะทางสังคม และชีวิตส่วนตัวของบุคคลนั้นๆ ทำให้บุคคลนั้นๆ สูญเสียความตั้งใจและพลังในการต่อต้านรัฐ วิธีการนี้จะไม่ทิ้งหลักฐานทางกายภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการประณามจากนานาชาติ
ขณะที่การทรมานโดยทั่วไปจะกระทำในสถานที่ปิดลับ เรือนจำ หรือค่ายทหาร แต่เซอร์เซ็ตซุงเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่กระทำในพื้นที่ส่วนตัวของผู้เสียหาย เช่น บ้าน ที่ทำงาน หรือแวดวงทางสังคมของผู้เสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงความมั่นคงจะคอยกระจายข่าวลือ ปลอมแปลงเอกสาร ทำลายหน้าที่การงาน ก่อกวนและบ่อนทำลายชีวิตส่วนตัวของผู้เสียหาย ตั้งแต่การสร้างข่าวปลอมหรือข่าวลือเกี่ยวกับความสามารถทางอาชีพหรือการนอกใจคู่สมรส เพื่อทำลายหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัวของบุคคลนั้นๆ และสร้างความรู้สึกโดดเดี่ยว ไปจนถึงการการบงการความคิด โดยการย้ายสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านของผู้ที่ตกเป็นเป้า ขโมยสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แกล้งโทรศัพท์แล้ววางสาย เพื่อให้บุคคลที่ตกเป็นเป้ารู้สึกสงสัยในสติและความปลอดภัยของตัวเอง ถือเป็นการกดทับทางจิตใจ สร้างความรู้สึกหวาดระแวง โดดเดี่ยว และทำลายสุขภาพจิต
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมีการใช้ยุทธวิธีเซอร์เซ็ตซุง ก็มีการทรมานทางกายภาพในเรือนจำและศูนย์สอบสวนของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่การทรมานจะเกิดขึ้นในศูนย์สอบสวนที่ปรับปรุงจากเรือนจำพิเศษที่มีชื่อเสียง อาทิ เบอร์ลิน-โฮเฮนเชินเฮาเซน (เรือนจำพิเศษของกระทรวงความมั่นคง), เรือนจำเบาต์เซน (มักถูกเรียกว่า Yellow Misery) และเรือนจำหญิงโฮเฮเนค และต่อมา ผู้ที่ตกเป็นเป้าของเซอร์เซ็ตซุงอาจจะถูกจับไปควบคุมตัวในเรือนจำเหล่านี้ หากกระทรวงความมั่นคงต้องการคำรับสารภาพ ต้องการจับแยกออกจากสังคม หรือต้องการเพิ่มโทษ
ผู้ที่ตกเป็นเป้า ซึ่งได้แก่ นักกิจกรรม, นักเขียน, ศิลปิน, ปัญญาชน, ผู้ที่ต้องการหนีออกจากประเทศ, ผู้ที่ติดต่อกับฝ่ายตะวันตก, กลุ่มแรงงาน และกลุ่มศาสนา จะถูกนำตัวมายังเรือนจำเหล่านี้ และถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ขังเดี่ยวเป็นเวลานานหลายเดือน, การรบกวนประสาทสัมผัสจากการขังในห้องขังขนาดเล็ก มืด และเย็น, การรบกวนการนอน, การข่มขู่และลดทอนความเป็นมนุษย์ เช่น การบงการความคิด การสอบสวนด้วยวิธีรุนแรง และการข่มขู่สมาชิกในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์สอบสวน และถูกทรมานมีหลายพันคน เช่นเดียวกับผู้เสียหายจากเซอร์เซ็ตซุง ที่มีจำนวนหลายพันคนเช่นกัน
“ระบอบเผด็จการปิโนเชต์” ประเทศชิลี (1973 – 1990)
ภายหลังจากการรัฐประหารที่นำโดยนายพลออกุสโต ปิโนเชต์ เมื่อปี 1973 การสอบสวนและการทรมานอย่างเป็นระบบถูกนำมาใช้ทันที โดยหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Directorate of National Intelligence – DINA) เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอำนาจรัฐบาลทหาร

รัฐบาลปิโนเชต์ใช้วิธีการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน โดยการเปลี่ยนสถานที่สาธารณะให้เป็นศูนย์คุมขังและทรมาน โดยมีศูนย์ลักษณะนี้หลายสิบแห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยศูนย์คุมขังและทรมานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่ วิลลา กริมัลดี (Villa Grimaldi) ใกล้กับกรุงซานติอาโก ซึ่งคุมขังนักโทษจำนวนหลายพันคน และสนามกีฬาแห่งชาติ
ผู้ที่ตกเป็นเป้าการทรมานส่วนใหญ่ได้แก่ นักกิจกรรม นักศึกษา สมาชิกสหภาพ นักการเมืองฝ่ายซ้าย และผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล โดยมักจะถูกควบคุมตัวไปยังศูนย์ทรมาน และถูกใช้ไฟฟ้าช็อตตามจุดที่ละเอียดอ่อนของร่างกาย การใช้ความรุนแรงทางเพศ การบังคับเปลือยกาย การทุบตีอย่างรุนแรง และการทรมานทางจิตใจ
จากรายงานของคณะกรรมการวาเลค หรือคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการคุมขังทางการเมืองและการทรมาน (National Commission on Political Imprisonment and Torture) มีผู้เสียหายจากการทรมานและการคุมขังทางการเมืองในชิลีมากกว่า 27,000 คน
ประเทศไทย: มรดกสงครามเย็นกับสามจังหวัดชายแดนใต้
การต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ซึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของประเทศคอมมิวนิสต์ ทั้งลาว เวียดนาม กัมพูชา ขณะเดียวกันก็มีกองกำลังคอมมิวนิสต์กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ทำให้หลายคนเชื่อว่าไทยอาจจะเป็น “โดมิโนตัวสุดท้าย” ที่จะถูกยึดครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์
แม้การทรมานในยุคสงครามเย็นของประเทศไทยจะไม่ได้ปรากฏและมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน แต่กรณีทรมานอย่างหนึ่งที่ปรากฏเป็นเรื่องเล่าของผู้คนในท้องถิ่น และได้รับความสนใจอย่างมาก คือกรณี “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงและผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น ที่จังหวัดพัทลุง
กรณีถีบลงเขา เผาลงถังแดง หรือ “กรณีถังแดง” เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2510 ซึ่งนำรูปแบบจากการปราบปรามแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาใช้ในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น จ. ตรัง จ. นครศรีธรรมราช และ จ. สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเขตเคลื่อนไหวของ พคท. โดยการ “ถีบลงเขา” หมายถึงการนำตัวผู้เห็นต่างทางการเมืองขึ้นเฮลิคอปเตอร์ และถีบตกลงมากลางป่า ส่วน “เผาลงถังแดง” คือการนำคนใส่ถังน้ำมันพร้อมเชื้อเพลิง เผาทั้งที่เสียชีวิตและยังมีชีวิต ซึ่งวิธีนี้จะทิ้งร่องรอยไว้น้อยมาก เหตุการณ์นี้เป็นที่รับรู้มากขึ้นในราว พ.ศ. 2514 จนถึงช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จากนั้น รัฐได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในรูปแบบอื่น เมื่อมีผู้เข้าร่วมกับ พคท. มากขึ้น
นอกจากการทรมานที่นำมาใช้ในช่วงสงครามเย็นแล้ว รัฐยังจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับมือกับคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา นั่นคือ “กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์” (กอ.ปค.) เมื่อ พ.ศ. 2516 ซึ่งภายหลังพัฒนาเป็น “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน” (กอ.รมน.) และมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่นักศึกษา กลุ่มแรงงานและชาวนา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกสังหารเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ กอ.รมน. ได้ปรับเปลี่ยนภารกิจไปสู่การแก้ปัญหาความมั่นคงด้านอื่นๆ เช่น การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, การจัดระเบียบชายแดน, การพัฒนาเพื่อความมั่นคง, และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่เริ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อ พ.ศ. 2547
จนกระทั่งหลังการรัฐประหารปี 2549 มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 (พ.ร.บ. ความมั่นคง) เป็นผลให้ กอ.รมน. เป็นส่วนราชการที่มีรูปแบบเฉพาะ ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ส่งผลให้ กอ.รมน. มีสถานะเป็นส่วนราชการที่มีความมั่นคงสูงขึ้น และมีอำนาจโดยตรงในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ จากนั้น หลังการรัฐประหารในปี 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กอ.รมน. ได้กลายเป็นองค์กรการเมืองของกองทัพ ที่สามารถใช้งบประมาณแผ่นดินมาดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และมีกลไกอยู่ทั่วทุกภูมิภาคแม้จะเรียกได้ว่าไม่มีการทรมาน “คอมมิวนิสต์” อีกต่อไป แต่รูปแบบการทรมานที่คล้ายกับในช่วงสงครามเย็นกลับปรากฏให้เห็นในสามจังหวัดชายแดนใต้ ตั้งแต่การใช้กฎหมายพิเศษ ทั้งกฎอัยการศึก, พ.ร.บ. ความมั่นคง และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมโดยไม่มีหมายจับ ควบคุมตัวได้โดยไม่ต้องใช้หมายศาล และสามารถควบคุมตัวบุคคลได้เป็นระยะเวลานาน และเนื่องจากผู้ที่ถูกจับกุมยังไม่มีสถานะเป็น “ผู้ต้องหา” เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปยัง “ศูนย์ซักถาม” ซึ่งเป็นสถานที่ปิดลับภายในค่ายทหาร ที่กระจายตัวอยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสอบสวน ทว่าหลายครั้งกลับมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในศูนย์ซักถาม
“รายงานสถานการณ์การทรมานและปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557 – 2558” โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 ระบุว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นที่ดำเนินการใน พ.ศ. 2557 – 2558 พบว่ามีผู้ร้องเรียนที่ถูกทรมานระหว่าง พ.ศ. 2547 – 2558 รวมทั้งสิ้น 54 ราย ผู้ถูกทรมานทั้งหมดเป็นผู้มีเชื้อสายมลายู และนับถือศาสนาอิสลาม
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า การทรมานที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้เป็นการกระทำอย่างเป็นระบบ คือทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นประจำ แพร่หลาย และมีเจตนาเพื่อให้ได้ข้อมูลหรือคำรับสารภาพของผู้ที่ถูกทรมาน และการทรมานมักจะเกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างการจับกุม ระหว่างการเดินทาง และระหว่างการซักถาม และวิธีทรมานก็ไม่ต่างจากในยุคสงครามเย็นมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการทรมานทางร่างกาย เช่น การบังคับให้อดนอน การทุบตี การทำให้สำลัก การช็อตไฟฟ้า การล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งการทรมานทางใจ เช่น การขังเดี่ยว การทำให้สูญเสียประสาทสัมผัส การข่มขู่ หรือการจำลองการสังหาร โดยการกรอกน้ำ ทำให้ผู้ถูกทรมานรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เป็นต้น
แม้ทุกวันนี้ประเทศไทยจะมีการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย แต่การทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐดูเหมือนจะยังไม่หมดไป แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อหลีกเลี่ยงการเอาผิดทางกฎหมาย ขณะเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมก็ยังดูเหมือนไม่เอื้อให้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เห็นได้จากกรณีของ “มังซูร” ที่ถูกควบคุมตัวที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ. ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นเวลา 7 วัน ก่อนถูกส่งตัวมายังศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปกตร.) จ. ยะลา
มังซูรให้การว่าตนมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน และมีอาการปวดชาที่ขาทั้งสองข้างบ่อยๆ ทว่าตลอดระยะเวลาการควบคุมตัวที่ ศปกตร. กลับถูกเรียกตัวมาซักถามในเวลาดึกทุกวัน ในห้องที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ต้องพักในห้องที่เปิดไฟตลอด 24 ชม. และถูกเจ้าหน้าที่เตะและผลักศีรษะขณะซักถาม
กรณีของมังซูรได้รับการไต่สวนโดยศาลจังหวัดยะลา หลังจากที่ครอบครัวของมังซูรได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยุติการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม หลังจากนายมังซูรถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ และอ้างว่ามีการทรมานและปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม ถือเป็นการไต่สวนโดยพลันตามมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย นับเป็นกรณีแรกในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ได้รับการไต่สวน นับตั้งแต่มีการใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการไต่สวน ศาลได้มีคำสั่ง “ยกคำร้อง” โดยระบุว่าแม้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ เช่น การเตะและผลักศีรษะ จะเป็นการกระทำที่ไม่สมควร และไม่ถูกต้อง แต่การกระทำตามคำร้องยังไม่ใช่การทรมาน
เช่นเดียวกับการทรมานในอดีต กรณีการทรมานและตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบในสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่เคยมีการเก็บข้อมูลและบันทึกไว้อย่างชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงตัวเลขประมาณการคร่าวๆ กับตัวเลขงบประมาณที่เทลงไปในพื้นที่ โดยที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงใดๆ ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างออกไป คือกรณีการทรมานในอดีตสามารถระบุตัวผู้ที่มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ในทุกระดับ แม้กระทั่งผู้นำที่สั่งการ ทว่าสำหรับสามจังหวัดชายแดนใต้ ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดถูกดำเนินคดีจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และการทรมานประชาชนอาจจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป หากไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบต่อกรณีเหล่านี้






