29 ก.ค. 68 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ ยกคำร้อง กรณีมูลนิธิฯ ยื่นคำร้องไต่สวนการใช้โซ่ตรวนจำเลย 13 คน ชี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาคดี ต้องห้ามอุทธรณ์ มูลนิธิฯ เห็นแย้ง

วันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 ได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ฯ กรณีพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ หลังยื่นคำร้องขอยุติการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีเรือนจำระยองใส่โซ่ตรวนเท้าขนาดใหญ่แก่จำเลย 13 คน ในระหว่างพิจารณาคดี 

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า “คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้กรมราชทัณฑ์ยุติการใช้เครื่องพันธนาการแก่จำเลยทั้งสิบสามของผู้ร้อง ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง”

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 พรเพ็ญได้ยื่นคำร้องขอให้ยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยการยุติการใส่กุญแจเท้าและโซ่ตรวนกับผู้ต้องขังโดยทันที ทว่าในวันเดียวกัน ศาลได้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า “เนื่องจากคดีนี้มีจำเลยถึง 13 คน และเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เจ้าหน้าที่ต้องดูแลความปลอดภัยและป้องกันการหลบหนี ย่อมจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการควบคุมที่เหมาะสม  ภายใต้ระเบียบข้อบังคับของทางราชทัณฑ์ ซึ่งมิได้เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการไม่ชอบแต่อย่างใด เป็นการกระทำโดยชอบแล้ว ยกคำร้อง”

ต่อมาในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 พรเพ็ญได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ยกคำร้อง จากนั้น ศาลได้มีคำสั่งว่า “ตรวจอุทธรณ์ของผู้ร้องแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำสั่งโดยชัดแจ้งว่าที่ศาลมีคำสั่งนั้น ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างไร อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอุทธรณ์ว่ามีการควบคุมตัวโดยไม่ชอบในระหว่างการพิจารณาได้สิ้นสุดไปแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ผู้ร้อง” จากนั้นในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 พรเพ็ญได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 มีคำสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าว และให้ส่งสำนวนไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในฐานะผู้ถูกร้อง จนศาลอุทธรณ์ฯ อ่านคำสั่งว่ายกคำร้องว่าเป็นการต้องห้ามอุทธรณ์ส่งผลให้ศาลไม่ได้วินิจฉัยประเด็นตามคำร้องเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด

“คำสั่งคดีของศาลอุทธรณ์ฯนี้เป็นใช้เหตุผลทางเทคนิคกฎหมายและเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่ผู้ร้องเห็นว่าสาระของคำร้องเรื่องโซ่ตรวนไม่ใช่ประเด็นเดียวกันกับคดีหลักที่พลทหารวรปรัชญ์ถูกทำร้ายทรมานจนเสียชีวิต ผู้ร้องเตรียมข้อกฎหมายเพื่อคัดค้านคำสั่งที่ผิดหลงนี้ ตุลาการของไทยพลาดโอกาสในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญไทยและกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนไปอย่างน่าเสียดาย”  พรเพ็ญ กล่าว

 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย” และ “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้” อีกทั้งมาตรา 29 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยังระบุว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”

ยิ่งกว่านั้น พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ระบุว่า ห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่ผู้ต้องขังมีพฤติการณ์ที่จะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น, เป็นบุคคลวิกลจริต, มีพฤติการณ์หลบหนี หรือเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นสมควรเท่านั้น ดังนั้น การใช้เครื่องพันธนาการ ไม่ว่าจะเป็นโซ่ตรวนหรือกุญแจเท้า เท่ากับว่าเป็นการนำ “ข้อยกเว้น” มาใช้เป็นข้อปฏิบัติในการควบคุมผู้ต้องขัง ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานในการควบคุมตัวผู้ต้องขังให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ รวมทั้งเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนร่วมกันติดตามกรณีการใส่กุญแจเท้าและโซ่ตรวนกับผู้ต้องขังให้ได้รับการพิจารณาโดยศาลสูงตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อยืนยันว่าสำนักงานศาลยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์จะทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สิทธิผู้ต้องขังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและหลักการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง

Author