9 ปี เด่น คำแหล้: ที่ดินและชีวิตที่สูญหายใต้อำนาจรัฐ 

“เด่น คำแหล้” หรือ “พ่อเด่น” นักต่อสู้สิทธิในที่ดินที่เป็นที่รู้จักอย่างมากโดยเฉพาะในแถบภาคอีสาน เขาเป็นแกนนำในการต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินมาอย่างยาวนาน การต่อสู้ของพ่อเด่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อพื้นที่โคกยาว พื้นที่ของบรรพบุรุษที่พ่อเด่นและภรรยาทำกินและอาศัยอยู่กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนจากการประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าสงวนพร้อมการเผชิญกับผลพวงต่างๆ จากนโยบายรัฐ พ่อเด่นต่อสู้ร่วมกับชุมชนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้ชาวบ้านสามารถกลับไปทำกินในพื้นที่โคกยาวได้และให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการที่ดินร่วมกับรัฐ อย่างไรก็ตามในวันที่ 16 เมษายน 2559 ชุมชนโคกยาว-บ่อแก้ว และขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินต้องสูญเสียแกนนำหลักไป เมื่อพ่อเด่นจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังเข้าไปในสวนป่าโคกยาวซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เพื่อเก็บหาของป่าตามวิถีปกติ ก่อนจะมีการพบชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะที่พบว่ามีดีเอ็นเอตรงกับพี่สาวของพ่อเด่นในเวลาต่อมา

เริ่มต้นจากที่ดินต่อด้วยชีวิตของพ่อเด่นที่สูญหายใต้อำนาจรัฐไทย ทุกช่วงชีวิตของเกษตรกรนักสู้คนนี้กำลังตอกย้ำว่าการจัดการเรื่องที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงและนโยบายทางการเมืองเสมอมา และการใช้อำนาจรัฐเหล่านี้ส่งผลต่อชีวิตและที่ทำกินของประชาชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีสิทธิและเสียงในการตัดสินใจใดๆ 

“สหายดาว อีปุ่ม” ในฝุ่นควันของสงครามเย็น

ความตื่นรู้ทางการเมืองของพ่อเด่นมีที่มาควบคู่ไปกับบริบทแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ในยุคสงครามเย็น โดยในราวปี 2485 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวเป็นแบบใต้ดินด้วยการจับอาวุธต่อสู้ภายหลังการรัฐประหารปี 2490 ที่ทำให้กลุ่มทหารและกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมามีอำนาจ ผนวกกับการขยายอิทธิพลของสหรัฐอเมริกามายังประเทศไทยและภูมิภาคเพื่อมุ่งต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ โดยในปี 2494 พคท. มีนโยบาย “ป่าล้อมเมือง” ที่เน้นเคลื่อนไหวกับประชาชนในชนบทเป็นวงกว้าง 1 BBC THAI. (2561). ย้อนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในการเปิดตัวครั้งแรกหลังสงบนิ่งกว่า 30 ปี. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568, จาก https://www.bbc.com/thai/thailand-43603766

ขณะที่ในปี 2494 พ่อเด่นถือกำเนิดที่ จ.อุดรธานี และมาเติบโตใน อ. สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู เขาเติบโตและใช้ชีวิตดังคนทั่วไป จบประถมศึกษาปีที่ 4 บวชอุปสมบทอยู่พักหนึ่งก่อนสึกมาเพื่อช่วยครอบครัวหาเงินเลี้ยงชีพจากการทำงานรับจ้างดำนา และต่อยมวย

ในปี 2514 พคท. ได้เข้ามาเคลื่อนไหวในเขตพื้นที่ อ. สุวรรณคูหา หากเทียบกับประวัติของพ่อเด่นจะพบว่าพื้นที่ที่พ่อเด่นอาศัยอยู่ก็เป็นพื้นที่เป้าหมายพื้นที่หนึ่งของการเคลื่อนไหวใต้นโยบาย ป่าล้อมเมือง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้รู้จักกับ พคท. และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของพรรค จนเข้าสู่เส้นทางการต่อสู้ร่วมกับ พคท. ตั้งแต่ปี 2516 ในนาม “สหายดาว อีปุ่ม” 

ต่อมาในปี 2518 – 2520 พคท. ได้ส่งพ่อเด่นไปเรียนโรงเรียนการเมืองการทหารที่ลาวและเวียดนาม ก่อนจะกลับมาทำงานในเขตภูซาง ต่อมาได้รับมอบหมายให้ไปบุกเบิกเขต 196  ซึ่งครอบคลุมถึงอำเภอคอนสาร จ.ชัยภูมิ

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของมวลชนที่สำคัญในช่วงเวลาเดียวกันคือการรวมตัวของกลุ่มชาวนาในนาม “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.)” ในปี 25172Lanner. (2565). ประวัติศาสตร์ประชาชน ครบรอบ 48 ปีสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.lannernews.com/19112565-5/ ที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากขบวนการนักศึกษา รวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการรวมศูนย์อำนาจในที่ดินและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการที่ดินให้รับรองสิทธิและรับฟังเสียงของชาวนามากขึ้น นำไปสู่การผลักดันพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ 2517 กฎหมายที่จะทำให้การเก็บค่าเช่านาเป็นธรรมมากขึ้นและไม่ให้กลุ่มเจ้าของที่ดินสามารถกดขี่ชาวนาได้3วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์. (2564). ความทรงจำถึง อินถา ศรีบุญเรือง ประวัติศาสตร์ชาวนาที่ถูกบังคับให้สูญหาย. Thairath Plus. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/100549 หากพิจารณาจากบริบททางสังคมในช่วงเวลาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนรวมถึงกลุ่มชาวนามีความเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน ฝั่งรัฐไทยก็มีการตอบโต้โดยการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่รัฐมองว่าเป็นภัยความมั่นคงอย่างเป็นระบบผ่านยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเฉพาะโครงการทางเศรษฐกิจ  ในวิทยานิพนธ์หัวข้อ บทบาทของกองทัพไทยในการจัดการป่าไม้ในสมัยสงครามเย็น พ.ศ. 2502 – 2534 โดยธนวัฒน์ รุ่งเรืองสันติสุข เสนอว่ายุทธศาสตร์ที่สำคัญคือการก่อตั้งสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) โดยกระทรวงมหาดไทย หนึ่งในโครงการทางเศรษฐกิจที่มุ่งพัฒนาพื้นที่ชนบทโดยเน้นไปยังพื้นที่ที่กลุ่มคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลอยู่ 

นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างถนนซึ่งเป็นโครงการพัฒนาที่รัฐไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการลดฐานที่มั่นของ พคท. ในป่า โดยเฉพาะการสร้างถนนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์มีอิทธิพลสูง ในขณะที่การสร้างถนนทำให้พื้นที่ป่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังเกิดการสนับสนุนให้มีการบุกเบิกที่ดินทำกินเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและด้วยเหตุผลทางความมั่นคง ดังจะเห็นได้จากการก่อตั้งสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ในปี 2518 เพื่อช่วยให้ชาวบ้านที่บุกเบิกที่ดินทำกินมีเอกสารแสดงการจับจองและยืนยันสิทธิ โดยจากข้อมูลพบว่าช่วงปี 2500 – 2520 มีประชาชนบุกเบิกที่ดินทำกินถึงสามล้านไร่ต่อปี4ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข (2562). บทบาทของกองทัพไทยในการจัดการป่าไม้ในสมัยสงครามเย็น พ.ศ. 2502-2534. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

การเคลื่อนไหวของ สทช. สร้างความวิตกกังวลต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมและชนชั้นนำจนนำไปสู่การตอบโต้อย่างรุนแรง โดยพบว่ามีแกนนำและประชาชนทั่วไปถูกสังหารถึง 46 ราย ผนวกกับความวุ่นวายทางการเมืองในปี 2519 ทำให้สุดท้ายแล้ว สทช. ยุติบทบาทลงในปี 2522 ต่อมาไม่นานนัก พคท. ก็เริ่มมีบทบาทน้อยลงก่อนจะเสื่อมสลายไปในช่วงปี 2525 

เมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่ป่า แต่เป็นการจัดการของรัฐที่ไม่ฟังเสียงประชาชน

ในช่วงเวลาที่การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์และสหพันธ์ชาวนาอ่อนแรงลงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พ่อเด่นออกจากป่า และแต่งงานกับ “สุภาพ คำแหล้” หรือ “แม่สุภาพ” ภรรยา และเริ่มต้นชีวิตเกษตรกรที่บ้านทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ในปี 2525 โดยปลูกข้าวโพดและถั่วแดงในพื้นที่โคกยาว ซึ่งเป็นที่ดินของพ่อตาและบรรพบุรุษที่ถือครองใช้ประโยชน์ในที่ทำกินดังกล่าวมาเป็นเวลายาวนาน

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพ่อเด่นและครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหม่ เมื่อมีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามทับซ้อนกับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านในพื้นที่โคกยาวในปี 2516 และต่อมากรมป่าไม้ได้ให้สัมปทานที่ดิน 4,401 ไร่ กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ทำสวนป่าคอนสารเพื่อปลูกไม้เศรษฐกิจ นำมาสู่ความพยายามผลักดันชาวบ้านออกจากพื้นที่ ปัญหาที่เกิดขึ้นปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อรัฐมีการดำเนินโครงการ “หมู่บ้านรักษ์ป่า ประชารักษ์สัตว์” ในปี 2528 เพื่อปลูกสวนป่ายูคาลิปตัส ทำให้มีการขับไล่ชาวบ้านในพื้นที่โคกยาวออกโดยอ้างว่ามีการจัดสรรที่ดินใหม่รองรับแก่ชาวบ้าน อย่างไรก็ตามชาวบ้านพบว่าที่ดินที่รัฐอ้างว่าจัดสรรไว้ให้ใช้ทำกินใหม่นั้นกลับเป็นที่ดินที่มีผู้อื่นถือครองทำประโยชน์อยู่ก่อนหน้าแล้วและไม่สามารถเข้าไปถือครองได้

ปัญหาที่ดินทับซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับพื้นที่โคกยาวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายชุมชนที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวจากการจัดการของนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่คำนึงถึงเสียงของประชาชน 

แต่เดิมการเข้ามาขยายอิทธิพลของจักรวิรรดินิยมตะวันตกตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐไทยเริ่มมีแนวคิดที่ต้องการจัดการควบคุมผลประโยชน์ในกิจการป่าไม้ โดยเฉพาะการควบคุมสัมปทานป่าไม้ไม่ให้ชาติตะวันตกสามารถได้ประโยชน์มากเกินควร ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งกรมป่าไม้ขึ้นในปี 2439 รวมถึงก่อตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในปี 2490 เพื่อผูกขาดการประกอบกิจการไม้สักและไม้กระยา รวมถึงการประกาศใช้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 เพื่อให้อำนาจรัฐในการควบคุมพื้นที่ป่าสงวนหรือการอนุญาตให้เข้าใช้ 

การกำหนดพื้นที่ป่าสงวนตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ สามารถทำได้โดยหากรัฐมนตรีเห็นสมควรก็สามารถออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้พื้นที่นั้นๆ เป็นป่าสงวน และชาวบ้านที่อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็นป่าสงวนกลับต้องมีภาระในการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของตนตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีเนื้อความโดยสรุปว่า ผู้ใดอ้างสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนอยู่ก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะบังคับใช้ ให้ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอภายใน 90 วัน (พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2559 ฉบับที่ 4 แก้ไขเป็น 120 วัน) นับแต่วันที่กฎกระทรวงที่ประกาศให้พื้นที่นั้นๆ เป็นป่าสงวนมีผลบังคับใช้ และถ้าไม่ยื่นคำร้องถือว่าสละสิทธิ5ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย. (2567). กลายเป็นว่า “ป่า” รุกที่ทำกิน: ปัญหาที่ดินกับความย้อนแย้งของป่าสงวน. Lanner. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://www.lannernews.com/31012567-01/ 

การบังคับใช้ พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่แม้จะอาศัยอยู่และถือครองทำกินมาก่อนมีการประกาศป่าสงวนมาอย่างยาวนานกลับกลายเป็นคนไร้ที่ทำกินและเป็นผู้บุกรุกป่าสงวนไปโดยปริยาย 

เมื่อพื้นที่โคกยาวที่พ่อเด่นและภรรยาครอบครองทำกินอยู่ตกเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นผู้บุกรุกป่าสงวน แม้จะเป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่อาศัยถือประโยชน์มาก่อนมีการประกาศเขตป่าสงวนดังกล่าวก็ตาม การต่อสู้ครั้งใหม่ของพ่อเด่นจึงเริ่มขึ้น

ชีวิตในพื้นที่ทับซ้อนและการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดิน

พ่อเด่นต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ดินมาตั้งแต่รัฐพยายามอพยพขับไล่ชาวบ้านในปี 2528 ในช่วง 2539 – 2542 พ่อเด่นร่วมเคลื่อนไหวกับชาวบ้านทุ่งลุยลาย และนำไปสู่การรวมตัวกันของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในที่ดินทำกินใน 5 ตำบล ของ อ. คอนสาร รวมถึงชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย และจัดตั้งเครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซิน (คอซ.)  ในปี 2547 ก่อนจะเข้าร่วมเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ตามลำดับ6ศรายุทธ ฤทธิพิณ. (2559). สรุปบทเรียน ‘ชุมชนบ่อแก้ว’ สู่ประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกิน. Thecitizen.plus. สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2568, จาก https://thecitizen.plus/node/11346

พ่อเด่นและชาวบ้านได้มีการชุมนุมหน้าที่ว่าการอำเภอคอนสาร เพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองประโยชน์ที่ดิน ยุติป่าคอนสาร และจัดสรรที่ดินให้กับประชาชนที่เดือดร้อน ตลอดจนดำเนินการให้เกิดการแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ทำให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินป่าไม้ระดับอำเภอ เพื่อตรวจสอบการถือครองพื้นที่โดยมีปลัดอาวุโสอำเภอเป็นประธาน 

ต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 คณะทำงานระดับพื้นที่มีมติว่า สวนป่าคอนสารปลูกสร้างทับที่ดินของประชาชนจริง ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร และนำพื้นที่มาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน7ศรายุทธ ฤทธิพิณ. (2558). ปมขัดแย้งสวนป่าโคกยาวกับบทพิสูจน์หัวใจรัฐบาลสู่การคืนสิทธิให้ชุมชน. ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://prachatai.com/journal/2015/03/58343 นอกจากนี้ในวันที่ 28 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิในเรื่องดังกล่าว โดยมีความเห็นว่าการกระทำของกรมป่าไม้ และ อ.อ.ป. ในการปลูกสวนป่าคอนสารเป็นการละเมิดสิทธิในที่ดินของชาวบ้านที่เข้าถือครองประโยชน์ก่อนป่าคอนสาร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนและไร้ที่ทำกิน และมีมติให้มีการยกเลิกสวนป่าคอนสาร อีกทั้งเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมมือกับชุมชนพัฒนาแผนการจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดินขึ้นอันจะเป็นการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน8เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.). (2554). ข้อเท็จจริงสวนป่าคอนสาร กรณีการสร้างศูนย์ธรรมรัศมี. Landactionthai. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.landactionthai.org/2012-05-18-03-24-45/article/item/1248-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B5.html

ต่อมาในปี 2552 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ได้เคลื่อนไหวร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ซึ่งเป็นเครือข่ายของผู้เดือดร้อนจากการถูกละเมิดสิทธิในที่ดินทั่วประเทศ และมีการผลักดัน “โฉนดชุมชน” ซึ่งเป็นนโยบายการจัดการที่ดินโดยชุมชน นอกจากนี้ในปีเดียวกันชาวบ้านได้กลับเข้าพื้นที่โคกยาวและตั้งชุมชนบ่อแก้วขึ้นในวันที่ 17 กรกฏาคม 2552 เนื่องจากความล่าช้าในการดำเนินการของรัฐ โดยภายหลังจากการเข้าไปในพื้นที่ อ.อ.ป. ได้มีการฟ้องขับไล่ชาวบ้านกว่า 31 คนในเดือนถัดมา9iLaw. (2562). “ยกเลิกสวนป่าคอนสาร” ความฝันของชุมชนบ่อแก้วหลังแพ้ในชั้นศาล. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.ilaw.or.th/articles/3685 

อย่างไรก็ตาม จากการผลักดันอย่างต่อเนื่องทำให้ในวันที่ 7 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ชาวบ้านโคกยาวใช้ประโยชน์จากสวนป่า และจัดให้มีพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชมให้กับประชาชนจำนวนทั้งหมด 830 ไร่ แม้ในทางบริหารจะมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ อุปสรรคยังคงเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ เมื่อการส่งมอบพื้นที่ยังคงติดขัดและหน่วยงานรัฐมีการอ้างข้อจำกัดในหลายเรื่องอันเป็นอุปสรรคที่ทำให้การส่งมอบพื้นที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยได้มีการชุมนุมของเครือข่ายประชาชนในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่กรุงเทพอีกครั้งในปี 2554 เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหา แต่ปัญหากลับเลวร้ายขึ้น เมื่อในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครองสนธิกำลังหลายนายเข้าไปยังบ้านโคกยาวและแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนกับชาวบ้าน 10 คน แบ่งออกเป็น 4 คดี โดยพ่อเด่นและแม่สุภาพตกเป็นจำเลยในคดีหนึ่งด้วย 

ในวันที่ 25 เมษายน 2566 ศาลจังหวัดภูเขียวอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยมีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นในคดีที่พ่อเด่นและแม่สุภาพตกเป็นจำเลย พิพากษาจำคุกทั้งคู่ 6 เดือน ไม่รอลงอาญาและไม่ให้ประกันตัว จนพีมูฟได้มีการชุมนุมที่กรุงเทพในเดือนพฤษภาคมเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาและยังมีการไปยื่นหนังสือต่อศาลฎีกาให้ให้สิทธิประกันตัวปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ภายหลังเมื่อทนายความได้อุทธรณ์คำสั่งศาล พ่อเด่นและแม่สุภาพจึงได้รับการประกันตัวระหว่างรอผลคำพิพากษาในชั้นฎีกา

จากช่วงเวลาข้างต้นจะเห็นได้ว่าแม้จะเคยมีการใช้กลไกตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่ว่าจากคณะทำงานในพื้นที่หรือจาก กสม. รวมถึงมติ ครม. ที่มีมติออกมาอย่างชัดเจนในการจัดการแก้ไขปัญหา แต่ในทางปฏิบัติ ปัญหายังคงไม่คลี่คลาย เมื่อมติของ ครม. ยังไม่ถูกดำเนินการจริง ยิ่งไปกว่านั้นชาวบ้านยังคงต้องเผชิญกับการถูกเจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ามาจับกุมและฟ้องร้องคดีบุกรุก

ภายหลังจากมติ ครม. เมื่อปี 2553 ต่อมาในปี 2557 ชาวบ้านในพื้นที่ต้องได้รับผลกระทบครั้งใหญ่จากนโยบายรัฐอีกครั้ง เมื่อภายหลังการรัฐประหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 64 และ 66/2557 เรื่องการปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ตามนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ นโยบายดังกล่าวเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เริ่มสนธิกำลังกลับเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนที่รวมถึงชุมชนบ่อแก้วเพื่อขับไล่ชาวบ้านออกไป สร้างความเดือดร้อนและทวีคูณความซับซ้อนให้กับปัญหาที่มีอยู่เดิม

ในปี 2557 – 2558 มีเจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ชุมชนบ่อแก้วหลายระลอกเพื่อประกาศให้ชาวบ้านทุกคนออกจากพื้นที่ภายในไม่กี่วันตามที่กำหนด และหากไม่ปฏิบัติตามจะมีการไล่รื้อโดยเจ้าหน้าที่ ต่อมาชาวบ้านชุมชนบ่อแก้วต้องทำหนังสือร้องเรียนและชี้แจงข้อเท็จจริงส่งไปยังหน่วยงานรัฐว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการแก้ไข โดยขอให้ชะลอและยุติคำสั่งบังคับขับไล่ชาวบ้าน โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 พีมูฟได้เข้ายื่นหนังสือกับรัฐบาลโดยหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนคำสั่ง และมีคำสั่งชะลอหรือยุติการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตามการคุกคามจากเจ้าหน้าที่และความพยายามในการขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง 

ต่อมาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีหนังสือถึงสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558  ขอความร่วมมือในการชะลอการดำเนินการใดๆ ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตตามปกติและสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินในระหว่างที่มีการแก้ไขปัญหาและการพิจารณาของหน่วยงานรัฐ

เริ่มต้นจากที่ดินต่อด้วยชีวิตที่ต้องสาบสูญ

ในระหว่างที่พ่อเด่นและแม่สุภาพต้องรอฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีบุกรุกป่า ชีวิตยังคงดำเนินไปในชุมชนโคกยาว-บ่อแก้ว แต่แล้วในเช้าวันที่ 16 เมษายน 2559 หลังจากพ่อเด่นได้เข้าไปในสวนป่าโคกยาวซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวเพื่อเก็บหาของป่าตามวิถีปกติ ก็ไม่มีใครพบเห็นหรือทราบชะตากรรมของเขาอีกเลย จนกระทั่งในวันที่ 1 สิงหาคม 2599 ภายหลังจากความพยายามของชาวบ้านในชุมชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการตามหาพ่อเด่น ก็ได้พบชิ้นส่วนกระดูก เศษผ้าขาวม้า ปลอกกระสุนปืน 

ต่อมาในวันที่ 23 มีนาคม 2560 ชาวบ้านพบวัตถุพยานหลายรายการ เช่น เป้ กระสอบปุ๋ย ถุงดำ ขวดน้ำ กระปุกปลาร้า กางเกง มีด รองเท้ายาง เป็นต้น10มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.), และ Focus in the Global South. (2560). เด่น คำแหล้ ความทรงจำการสูญหายและเสียงร่ำไห้ของลำน้ำพรม (พิมพ์ครั้งที่ 1).
และได้มีการนำชิ้นส่วนกระดูกเข้ากระบวนการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์จึงได้ทราบว่าเป็นชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะที่มีสายพันธุกรรมเดียวกันกับน้องสาวซึ่งร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพ่อเด่น อย่างไรก็ตาม กลับไม่สามารถระบุสาเหตุของการเสียชีวิตได้

แม่สุภาพเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC News ไทย ถึงการสูญหายของพ่อเด่นไว้ว่า “คิดว่า [เด่นถูก] อุ้มหาย เพราะเรื่องศัตรู ไม่มี แกมีแต่ปัญหาเรื่องทวงคืนผืนป่า”11นันท์ชนก วงษ์สมุทร์ และวสวัตติ์ ลุขะรัง. (2561). “สุภาพ คำแหล้” ติดคุกเพราะรุกที่ เสียสามีเพราะต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดิน. BBC THAI. ปรับปรุงเมื่อ 7 พฤษภาคม 2564, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://www.bbc.com/thai/thailand-44105203

ความเจ็บช้ำของแม่สุภาพยังไม่จบสิ้นเมื่อในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ตนเองกำลังเดินหน้าร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ เพื่อตามหาพ่อเด่น ศาลฎีกาก็ได้มีคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 โดยมีคำสั่งว่าแม้พ่อเด่นจะสูญหายและยังไม่มีใครทราบชะตากรรม อย่างไรก็ตามยังรับฟังไม่ได้ว่าพ่อเด่นถึงแก่ความตาย การไม่มาฟังคำพิพากษาศาลจึงถือว่าพ่อเด่นหลบหนี จึงไม่ระงับคดีอาญาและให้ศาลจังหวัดภูเขียวดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จากคำสั่งดังกล่าวทำให้ศาลจังหวัดภูเขียวจึงได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับพ่อเด่น และปรับนายประกัน 

การอ่านคำสั่งศาลฎีกาได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 ศาสฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา เป็นเหตุให้ภายหลังจากการสูญเสียสามีไปเพียงหนึ่งปีสุภาพก็ต้องเข้าเรือนจำตามคำพิพากษาศาลในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ตามความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 

แม่สุภาพได้รับอิสรภาพในวันที่ 6 มกราคม 2561 หลังจากต้องถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย 67 ปี ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 โดยยังคงไม่ได้รู้ความจริงและทราบชะตากรรมของพ่อเด่น คำแหล้ อีกทั้งชุมชนบ่อแก้ว-โคกยาวต้องสูญเสียสองแกนนำหลักของชุมชนที่เป็นที่เคารพไปอย่างไม่มีวันกลับ

คดีของพ่อเด่นได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมากและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับไปสอบสวน อย่างไรก็ตามปัจจุบันคดียังคงไม่มีความคืบหน้า จากความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อทนายความและตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพื่อสอบถามความคืบหน้าหลายกรณีรวมถึงกรณีพ่อเด่น คำแหล้ จึงทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษได้ยุติการสอบสวนคดีพ่อเด่นไป เพราะผลการพิสูจน์กระดูกพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการทำร้าย แต่ทางหน่วยงานยินดีประสานงานต่างๆ ต่อไปตามความต้องการของญาติ การหายไปและเสียชีวิตของพ่อเด่นจึงยังคงเป็นปริศนา

นอกจากสิทธิในที่ดินที่ถูกรัฐอุ้มหายไป ชีวิตของพ่อเด่นยังถูกบังคับให้สูญหาย และแม้ภายหลังจากที่พ่อเด่นเสียชีวิต กระบวนการยุติธรรมยังคงตอกย้ำความไม่เป็นธรรมแก่แม่สุภาพและครอบครัว ทั้งการจำคุกแม่สุภาพ การออกหมายจับพ่อเด่น หรือคดีที่หยุดนิ่งกับความจริงที่ถูกอุ้มหายไปพร้อมกับพ่อเด่น ทำให้ความหวังของครอบครัวและสังคมที่จะได้ทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อเด่น ใครเป็นผู้กระทำ และการนำคนผิดมารับโทษ เหลือน้อยนิด

หากย้อนมองชีวิตของพ่อเด่นคงจะเห็นด้วยไม่มากก็น้อยว่าชีวิตและความฝันของคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งในประเทศนี้จะต้องถูกฉีกทิ้งและพรากไปซ้ำแล้วซ้ำไม่จบสิ้น ตราบใดที่รัฐยังคงไม่มีประชาชนอยู่ในสายตา

Author

  • นักเขียนฝึกหัด นักเรียนกฎหมาย และเป็ดที่ทำได้ทุกอย่าง ติดแกลมแต่มีความฝันอยากเป็นนักเล่าเรื่องและนักกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

    View all posts
  • 1
     BBC THAI. (2561). ย้อนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในการเปิดตัวครั้งแรกหลังสงบนิ่งกว่า 30 ปี. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568, จาก https://www.bbc.com/thai/thailand-43603766
  • 2
    Lanner. (2565). ประวัติศาสตร์ประชาชน ครบรอบ 48 ปีสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.lannernews.com/19112565-5/
  • 3
    วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์. (2564). ความทรงจำถึง อินถา ศรีบุญเรือง ประวัติศาสตร์ชาวนาที่ถูกบังคับให้สูญหาย. Thairath Plus. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/100549
  • 4
    ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข (2562). บทบาทของกองทัพไทยในการจัดการป่าไม้ในสมัยสงครามเย็น พ.ศ. 2502-2534. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
  • 5
    ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย. (2567). กลายเป็นว่า “ป่า” รุกที่ทำกิน: ปัญหาที่ดินกับความย้อนแย้งของป่าสงวน. Lanner. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://www.lannernews.com/31012567-01/
  • 6
    ศรายุทธ ฤทธิพิณ. (2559). สรุปบทเรียน ‘ชุมชนบ่อแก้ว’ สู่ประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกิน. Thecitizen.plus. สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2568, จาก https://thecitizen.plus/node/11346
  • 7
    ศรายุทธ ฤทธิพิณ. (2558). ปมขัดแย้งสวนป่าโคกยาวกับบทพิสูจน์หัวใจรัฐบาลสู่การคืนสิทธิให้ชุมชน. ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://prachatai.com/journal/2015/03/58343
  • 8
    เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.). (2554). ข้อเท็จจริงสวนป่าคอนสาร กรณีการสร้างศูนย์ธรรมรัศมี. Landactionthai. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.landactionthai.org/2012-05-18-03-24-45/article/item/1248-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B5.html
  • 9
    iLaw. (2562). “ยกเลิกสวนป่าคอนสาร” ความฝันของชุมชนบ่อแก้วหลังแพ้ในชั้นศาล. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2568, จาก https://www.ilaw.or.th/articles/3685 
  • 10
    มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.), และ Focus in the Global South. (2560). เด่น คำแหล้ ความทรงจำการสูญหายและเสียงร่ำไห้ของลำน้ำพรม (พิมพ์ครั้งที่ 1).
  • 11
    นันท์ชนก วงษ์สมุทร์ และวสวัตติ์ ลุขะรัง. (2561). “สุภาพ คำแหล้” ติดคุกเพราะรุกที่ เสียสามีเพราะต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดิน. BBC THAI. ปรับปรุงเมื่อ 7 พฤษภาคม 2564, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, จาก https://www.bbc.com/thai/thailand-44105203