7 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนชาติพันธุ์จากกลุ่ม ‘รักษ์ลาหู่’ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ตรวจค้นรถยนต์ชัยภูมิ ที่ขับมาพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน เจ้าหน้าที่อ้างว่าชัยภูมิพยายามขัดขืนและทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธมีดและระเบิดขว้าง จึงใช้อาวุธปืนยิงชัยภูมิจนเสียชีวิต โดยภายหลังระบุว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตนเอง นอกจากนี้ ยังอ้างว่าพบยาบ้าเป็นจำนวน 2,800 เม็ด ซ่อนอยู่ในหม้อกรองน้ำของรถยนต์ของชัยภูมิ

ภายหลังเกิดเหตุนางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส ขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) และองค์กร Protection Internationl (PI) แต่งตั้งทนายความเป็นโจทก์ ฟ้องกองทัพบก เป็นจำเลย เพื่อเรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยหลักคือ เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อชัยภูมิหรือไม่ในการใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงชัยภูมิ

คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้น้ำหนักไปยังการนำเสนอพยานหลักฐานของจำเลยมากกว่าของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นข้อน่าสงสัยและพิรุธหลายประการจากพยานหลักฐานของจำเลย ข้อพิรุธเหล่านั้นทำให้ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักจะรับฟัง ศาลฎีกาตั้งคำถามกับข้อพิรุธและข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกันหลายประเด็น อันนำไปสู่การวินิจฉัยว่า พลทหารที่ยิงชัยภูมิกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิด

ตลอดการต่อสู้รวม 6 ปี นับแต่การเสียชีวิตของชัยภูมิ ป่าแส การต่อสู้เพื่อเรียกร้องค่าชดใช้เยียวยาจากกองทัพบกจนประสบความสำเร็จถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญแม้จะใช้เวลาอย่างยาวนานและความอดทนในการเดินหน้าต่อสู้ของครอบครัวชัยภูมิและทีมทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงได้นำเอกสารคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา มาเผยแพร่ต่อสาธารณชน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนคดีอาญา อัยการสูงสุด ‘สั่งไม่ฟ้อง’ เจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อาวุธปืนยิงชัยภูมิ  ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ทนายความมารดาของชัยภูมิได้รับหนังสือแจ้งผลคดีจากสถานีตำรวจภูธรนาหวาย มีใจความว่า “หลังจากพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อมีคำสั่ง อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีฆาตกรรมซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิง นายชัยภูมิ ป่าแส เมื่อปี 2560” ทั้งนี้อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ก่อนที่สถานีตำรวจภูธรนาหวายส่งหนังสือแจ้งผลคดีมายังนางปอย ป่าแส เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาเกือบสามปีให้หลัง

“ผมคิดถึงพี่ชาย ถ้าพี่ชายผมไม่เสียไป ผมคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องลำบากแบบนี้ ผมอาจจะได้เรียนต่อ ถ้ามีพี่ชาย พี่ชายก็จะเป็นคนดูแลผม ถ้าแลกได้ก็อยากให้พี่ชายกลับมามากกว่า” ชานนท์ น้องชายชัยภูมิ ป่าแส ยังรอคำขอโทษจากกองทัพบก และการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

ศาลชั้นต้น

พิพากษาวันที่ 26 ตุลาคม 2563 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ตายก่อนเกิดเหตุ 

ข้อสรุป: ข้อเท็จจริงในส่วนนี้สามารถรับฟังได้ว่าก่อนเสียชีวิตผู้ตายมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นในการนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,800 เม็ด ไปซุกซ่อนในกล่องกรองอากาศรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า คันที่เจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้นพบในวันเกิดเหตุ 

ข้อเท็จจริงขณะทำการตรวจค้นรถยนต์ของผู้ตายบริเวณด่านที่เกิดเหตุ

ข้อสรุป: ข้อเท็จจริงในส่วนนี้รับฟังได้ว่าผู้ตายใช้อาวุธมีดซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อที่จะให้ตนหลุดพ้นจากการควบคุมตัว 

ข้อเท็จจริงว่าพลทหารใช้อาวุธปืน 16 ยิงผู้ตายโดยมีเจตนาป้องกันหรือไม่ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าพลทหารกระทำละเมิดต่อชัยภูมิหรือไม่

ข้อสรุป: ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลยว่า ผู้ตายวิ่งหลบหนีและกำลังจะใช้อาวุธระเบิดชนิดว้าสเตทที่มีอานุภาพทำลายชีวิตขว้างใส่พลทหาร การที่พลทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงผู้ตายจำนวน 1 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตายนั้นจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตนเองให้พ้นจากภัยอันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพลทหารไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์  ดังนั้น จำเลยในฐานะหน่วยงานของรัฐที่พลทหารสังกัดอยู่จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง 

ศาลชั้นอุทธรณ์

พิพากษาวันที่ 20 ตุลาคม 2564 

มีปัญหาต้องวิจิฉัยว่าพลทหารกระทำละเมิดต่อชัยภูมิหรือไม่ข้อสรุป: พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักรับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ดังนั้นหลังตรวจพบยาเสพติดให้โทษ  การที่เจ้าหน้าที่ทหารหัวหน้าชุดมอบอาวุธปืนเอ็ม 16 ให้พลทหารติดตามผู้ตายขณะที่ผู้ตายถือระเบิดที่สามารถทำลายชีวิตและทรัพย์สินในรัศมี 10 เมตร และมีท่าทีจะขว้างวัตถุระเบิด วิญญูชนเช่นพลทหารย่อมเข้าใจได้ว่าผู้ตายจะใช้วัตถุระเบิดขว้างใส่พลทหาร การกระทำของผู้ตายดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่พลทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไปที่ผู้ตายในระยะ 10 เมตร แม้จะเป็นอาวุธปืนสงครามที่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่การที่พลทหารสุรศักดิ์ยิงเพียง 1 นัด และเลือกยิงที่ต้นแขนด้านซ้ายซึ่งไม่ใช่อวัยวะสำคัญในภาวะเช่นนั้น จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิตนเองให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงทั้งได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของพลทหารจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลยการกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ทหารจึงไม่ใช่การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ศาลฎีกา

พิพากษาวันที่ 3 สิงหาคม 2566

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การกระทำของพลทหาร เจ้าหน้าที่ทหารของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น เป็นการกระทำละเมิดหรือไม่

โจทก์ฎีกา:

พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์เบิกความไปตามสิ่งที่ตนเองรู้เห็น ไม่มีส่วนได้เสีย เป็นประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือมีน้่ำหนักรับฟังได้ 

พยานหลักฐานของจำเลยมีข้อพิรุธน่าสงสัยหลายประการ 

  • ไม่พบรอบนิ้วมือและดีเอ็นเอของผู้ตายที่ด้ามจับของระเบิดของกลาง โดยระเบิดนั้นยังไม่ถูกเปิดฝาเกลียวและดึงห่วงสลักนิรภัยขึันมาเพื่อจะใช้งาน 
  • สภาพศพผู้ตายถูกกระสุนปืนเข้าทางด้านหน้าและนอนหงายขาไขว้กัน
  • สมุดบันทึกของเจ้าหน้าที่ทหารบันทึกว่าไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย
  • จำเลยไม่ได้ส่งมอบกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุให้แก่พนักงานสอบสวนในทันที 

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่ามีภัยอันตรายที่ใกล้จะถึงอันเป็นเหตุให้พลทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายได้ คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ที่ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารดังกล่าวเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ถูกต้อง 

ศาลฎีกา:

คดีนี้จำเลยต่อสู้คดีโดยอ้างว่าผู้ตายถือวัตถุบางอย่างท่าทางเหมือนจะถอดสลักระเบิดและเงื้อมือขวาชูขึ้นเหนือศรีษะจะขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหาร พลทหารจึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 เล็งยิงไปที่แขนซ้ายผู้ตาย 1 นัด เพื่อป้องกันตนให้พ้นจากอันตรายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากเป็นจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้างข้างต้น การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารย่อมได้รับการยกเว้นความรับผิด จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนั้น จำเลยต้องนำสืบพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมากเพียงพอกับหลักภาระการพิสูจน์ของจำเลย ศาลจึงจะรับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้างได้ว่าเป็นความจริง 

คำพยานจำเลยและพยานโจทก์ที่เบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีข้อแตกต่างกันในสาระสำคัญว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้หยิบมีดพร้าและวัตถุระเบิดไปจากห้องสัมภาระท้ายรถยนต์หรือไม่ 

เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานของจำเลยโดยตลอดแล้ว พบว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีข้อพิรุธหลายประการ

ประการแรก ข้อพิรุธเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญก่อนเกิดเหตุที่จำเลยอ้างว่าตรวจค้นเจอยาเสพติดซุกซ่อนในหม้อกรองอากาศและไส้กรองอากาศภายในกระโปรงหน้ารถ เมื่อจ่าสิบโทกับพวกได้ตรวจค้นรถยนต์ของผู้ตายโดยละเอียดโดยเปิดประตูรถทั้งสี่บานและฝากระโปรงท้าย แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาาย หากมีเหตุการณ์ที่ผู้ตายหยิบมีดพร้าและวัตถุระเบิดไปจากห้องสัมภาระท้ายรถจริง ทำไมจ่าสิบโทและพวกจึงตรวจค้นไม่พบสิ่งของดังกล่าวตามที่กล่าวอ้างมาในทำนองว่าผู้ตายสามารถหยิบสิ่งของดังกล่าวจากห้องสัมภาระท้ายรถได้โดยง่ายและรวดเร็ว

นอกจากนี้คำให้การของพลอาสาสมัคร และพลทหารในประเด็นเกี่ยวกับการหยิบมีดพร้าของผู้ตายมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน คือ พลอาสาสมัครให้ข้อเท็จจริงว่า ตนกอดปล้ำกับผู้ตายจากด้านข้างรถฝั่งคนขับไปถึงบริเวณท้ายรถ และผลักผู้ตายเข้าไปในห้องสัมภาระรถแต่ผู้ตายใช้มือซ้ายคว้ามีด พยานจึงใช้มือซ้ายจับข้อมือซ้ายของผู้ตาย และใช้มือขวากดตัวผู้ตาย เมื่อผู้ตายยกตัวขึ้น ตนจึงแย่งมีดได้ แสดงว่าพลอาสาสมัครแย่งมีดพร้าจากผู้ตายที่ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ อย่างไรก็ตามคำเบิกความพลทหารสรุปได้ว่าพลทหารไม่เห็นผู้ตายไปหยิบมีดที่รถยนต์ และเห็นพลอาสาสมัครแย่งมีดกับผู้ตายอยู่ที่ท้ายรถด้านนอกตัวรถไม่ใช่ภายในห้องเก็บสัมภาระรถ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต่างกัน 

ประกอบกับจากคำเบิกความของเพื่อนผู้ตายที่มาด้วยกัน ระบุว่าเมื่อผู้ตายถูกกดลงกับพื้น มีเจ้าหน้าที่ทหารถือปืนยิงลงพื้นไป 1 นัด ลักษณะขู่ แต่ผู้ตายไม่สนใจขัดขืนปล้ำกับเจ้าหน้าที่ทหาร เมื่อผู้ตายสะบัดหลุดจากเจ้าหน้าที่ทหารก็วิ่งข้ามถนนไปทางป้อมตำรวจเก่า แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ไปหยิบวัตถุระเบิดจากห้องสัมภาระตามที่จำเลยอ้าง 

สรุป คำพยานจำเลยในเรื่องว่าผู้ตายได้หยิบมีดพร้าและวัตถุระเบิดไปจากห้องสัมภาระท้ายรถยนต์นั้นจึงขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

ประการที่สอง เกี่ยวกับวัตถุระเบิดของกลาง

จากรายงานการตรวจพิสูจน์ ระบุว่า ตรวจพบดีเอ็นเอของบุคคลมากกว่าหนึ่งคนซึ่งมีดีเอ็นเอของผู้ตายด้วยที่ตัวระเบิด ส่วนที่บริเวณด้ามจับวัตถุระเบิดพบดีเอ็นเอของบุคคลมีปริมาณน้อยไม่สามารถใช้ตรวจเปรียบเทียบหรือยืนยันตัวบุคคลได้ แต่ข้อเท็จจริงจากผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจและเก็บวัตถุระเบิดของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ความว่าด้านในของฝาเกลียวจะมีห่วงสลักนิรภัยและต้องเจาะกระดาษบางๆ แล้วใช้นิ้วก้อนคล้องห่วงเหล็กที่อยู่ด้านใน และใช้มือจับบริเวณด้ามของระเบิด และหากระเบิดยังไม่ทำงานก็สามารถตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและดีเอ็นเอบนวัตถุระเบิดได้ กับได้ความจากพนักงานสอบสวนว่า วัตถุระเบิดของกลางยังไม่ถูกใช้งาน 

ทำให้มีข้อน่าสงสัยอย่างมากว่า หากผู้ตายถือวัตถุระเบิดของกลางวิ่งหนีเป็นระยะทางถึง 50 เมตร ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ก็น่าจะมีลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของผู้ตายติดอยู่ที่ด้ามระเบิดในปริมาณที่มากพอจะตรวจพบได้ และหากผู้ตายทำท่าจะขว้างวัตถุระเบิดของกลางใส่พลทหารตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ผู้ตายก็น่าที่จะต้องเปิดฝาเกลียวออกและใช้นิ้วมือคล้องห่วงเหล็กเพื่อใช้งาน คำพยานจำเลยเรื่องระเบิดจึงขัดต่อเหตุผลธรรมดาของเรื่องราวที่กล่าวอ้าง

ประการที่สาม เกี่ยวกับจุดที่พบระเบิดของกลาง พลทหารเบิกความว่าหลังเกิดเหตุพบระเบิดของกลางตกอยู่ห่างตัวผู้ตายประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนจ่าสิบโทซึ่งขับรถจักรยานยนต์ตามไปที่จุดเกิดเหตุเบิกความว่าพยานเห็นระเบิดอยู่ที่มือของผู้ตาย พยานจำเลยทั้งสองปากเห็นเหตุการณ์ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่เบิกความในข้อสาระสำคัญที่แตกต่างกันอันเป็นพิรุธ 

ประการที่สี่ เกี่ยวกับกล้องวงจรปิด ข้อเท็จจริงจากพนักงานสอบสวน คือ ในบริเวณสถานที่เกิดเหตุมีกล้องวงจรปิด 9 ตัว ใช้การได้ 6 ตัว จากที่พนักงานสอบสวนตรวจสอบในวันเกิดเหตุพบว่ามีกล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุไว้ได้ ในชั้นสอบสวนได้ขอให้เจ้าหน้าที่ทหารส่งภาพบันทึกเหตุการณ์ในจุดเกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ทหารไม่ส่งให้ พยานจึงมีหนังสือทวงถาม 3 ครั้ง ต่อมาเดือนเมษายน 2560 เจ้าหน้าที่ทหารส่งเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดไปให้พยานตรวจพิสูจน์พบว่า เครื่องบันทึกภาพตั้งค่าวันเวลาเป็นปัจจุบัน พบแฟ้มข้อมูลภาพที่บันทึกเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม 2560 – 25 มีนาคม 2560 แต่ไม่พบภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ แต่พบประวัติการทำสำเนาแฟ้มข้อมูลบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 เวลา 05.03.42 น. แต่ในชั้นไต่สวนการตายของผู้ตาย ไม่มีสำเนาบันทึกภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุเป็นพยานหลักฐาน แสดงว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่สงมอบสำเนาบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานตั้งแต่แรก 

ต่อมา เมื่อศาลจังหวัดเชียงใหม่มีหนังสือแจ้งให้ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 ส่งต้นฉบับหรือสำเนาภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดดังกล่าวมาให้ก่อนวันนัดสืบพยาน เมื่อ 21 มกราคม 2563 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39  มีหนังสือลงวันที่ 23 มกราคม 2563 ซึ่งล่วงวันสืบพยานมาแล้ว โดยแจ้งว่าไม่มีวัตถุพยานอยู่ในครอบครอง ให้ประสานไปยังกองทัพภาคที่ 3 เพื่อขอรายละเอียดวัตถุพยานดังกล่าว ทำให้น่าสงสัยว่ามีการปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่างหรือไม่ 

การที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่จำเลยไม่ส่งกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญอันอยู่ในครอบครองของจำเลยในทันที คำพยานจำเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ทำให้พยานหลักฐานของจำเลยขาดน้ำหนัก 

ส่วนพยานโจทก์ที่เป็นชาวบ้านซึ่งเห็นเหตุการณ์นั้น แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่พยานเบิกความว่าเห็นเหตุการณ์ตอนผู้ตายวิ่งหนีไป ผู้ตายไม่ได้หยิบสิ่งของใดจากในกระโปรงท้ายรถไป ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับพยานแวดล้อมในเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่าคำพยานจำเลย และพยานผู้นี้ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด อีกทั้งหลังเกิดเหตุได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวทันที ทำให้น่าเชื่อว่าพยานเบิกความไปตามเป็นจริงที่ได้รู้เห็นมา 

ดังนั้น พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่ศาลฎีกาจะเชื่อถือได้มากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าพลทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวตามที่อ้าง

อย่างไรก็ตาม พลทหารยิงไปทางผู้ตายเพียง 1 นัดเท่านั้น จากสภาพศพ ความเห็นแพทย์ระบุว่ามีบาดแผลกระสุนเข้าทางบริเวณต้นแขนด้านซ้ายเหนือข้อศอกเยื้องมาด้านหน้าเล็กน้อย กระสุนทะลุออกบริเวณด้านในต้นแขนซ้ายแตกทะลุเข้าไปในลำตัวบริเวณสีข้างซ้ายเหนือราวนม ทิศทางของกระสุนจากด้านหน้าไปด้านหลัง จากด้านซ้ายไปด้านขวา ด้านล่างเยื้องขึ้นด้านบน แสดงว่าวิถีกระสุนไม่ได้พุ่งตรงมาที่กลางลำตัวของผู้ตาย อีกทั้งข้อเท็จจริงจากคำเบิกความพยานโจทก์ที่เป็นรุ่นพี่ผู้ดูแลผู้ตาย ระบุว่า ในวันเกิดเหตุได้สอบถามเจ้าหน้าที่ทหารว่าเหตุใดต้องยิง เจ้าหน้าที่ทหารบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้นั่งเล็งยิง ทำให้กระสุนปืนไปถูกจุดสำคัญเสียชีวิต จึงน่าเชื่อว่าพลทหารใช้ปืนยิงเพื่อสกัดไม่ให้ผู้ตายวิ่งหลบหนี โดยไม่ได้มีเจตนาประสงค์ต่อชีวิตของผู้ตาย ในการปฏิบัติหน้าที่ของพลทหารโดยนำอาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธสงครามมีอานุภาพร้ายแรงไปใช้งานนั้น สมควรมีความระมัดระวังในการใช้ปืนชนิดนี้เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตของผู้อื่น การที่พลทหารตัดสินใจใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงเพื่อสกัดไม่ให้ผู้ตายวิ่งหลบหนีโดยตนเองกำลังวิ่งไล่ตามอยู่นั้น ถือเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งควรจะมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ 

การกระทำของพลทหารจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ 

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า เจ้าหน้าที่ทหารของจำเลยร่วมกันกระทำละเมิดต่อชื่อเสียงหรือเกียรติคุณหรือทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์หรือไม่ 

โจทก์ฎีกา:

หลังเกิดเหตุจ่าสิบโท และพลอาสาสมัคร กับเจ้าหน้าที่ทหารของจำเลยร่วมกันกระทำละเมิดต่อชื่อเสียงของผู้ตายและครอบครัวโดยกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนและบุคคลที่สามว่าผู้ตายต่อสู้ขัดขวางโดยใช้อาวุธมีดและระเบิดแบบขว้างสังหารเพื่อจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ และมีเมทเอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ซึ่งไม่เป็นความจริง

ศาลฎีกา:

เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นการละเมิดในกรณีนี้ต้องเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลนั้นโดยตรงเท่านั้น ผู้นั้นจึงมีสิทธิมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีนี้ได้ เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้รับฟังได้แต่เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายเกี่ยวกับผู้ตาย ไม่ได้เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายไปถึงโจทก์ (ครอบครัวของชัยภูมิ) แต่ประการใด โจทก์ย่อมไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีนี้ ศาลฎีหาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ในประเด็นนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้าย คือ จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด 

ศาลฎีกา: จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิน 2,072,400 บาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการปลงศพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดงานศพ  และค่าขาดไร้อุปการะ

Author