ย้อนไปเมื่อราว 15 ปีก่อน กลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันผลักดันกฎหมายเพื่อป้องกันการทรมาน การบังคับสูญหาย และการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความพยายามดังกล่าวล้มลุกคลุกคลาน ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนกระทั่ง พ.ศ. 2565 “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย” มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
และเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย” มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย, คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ), กลุ่มด้วยใจ และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร จึงได้จัดงาน “Echoes of Hope: ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง” พร้อมจัดเวทีเสวนา เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงประเด็นเรื่องข้อจำกัดและข้อท้าทายจากมุมมองที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือเวทีเสวนาที่มีชื่อว่า “ครบรอบ 2 ปี พ.ร.บ. ทรมาน ฯ พัฒนาการ ปัญหา ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ”
สมชาย หอมลออ คณะกรรมการ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและบังคับสูญหาย กล่าวถึงที่มาที่ไปและแนวคิดตั้งต้นของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า พ.ร.บ. นี้เกิดขึ้นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (CED) ที่ไทยได้ให้สัตยาบันและลงนามรับรองมาเป็นเวลายาวนาน
“โดยระบบกฎหมายไทยนั้น การให้สัตยาบันหรือการลงนามอย่างเดียวไม่เพียงพอ ในการที่จะบอกให้เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ก็คือตำรวจ ทหารต่างๆ ราชทัณฑ์ DSI ปปส. เป็นต้น ทำตามอนุสัญญา เราบอกแบบนี้ไม่ได้ ถ้าในประเทศไทยไม่มีกฎหมายภายในประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องผลักดันให้มีกฎหมาย พ.ร.บ. ทรมานหรือ พ.ร.บ.อุ้มทรมาน และ พ.ร.บ.อุ้มหาย พอมีกฎหมายแล้วจึงจะพูดกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างเต็มปาก รวมทั้งมาตรการในการเยียวยา นอกจากชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ แล้ว การให้ความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ รวมทั้งประเด็นสำคัญก็คือการสืบสวนสอบสวนคดี เพื่อเอาเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดมาลงโทษ อันนี้ถือเป็นการเยียวยาที่สำคัญที่สุด ถ้าเป็นกรณีอุ้มหายก็ต้องติดตามจนได้ตัวมาให้ได้” สมชายกล่าว

ความสำเร็จของ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย
แม้เนื้อหาของ พ.ร.บ. โดยรวมจะค่อนข้างสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองฉบับ ทว่าใน พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ยังมีบางประเด็นที่ต้องปรับปรุง เช่น ประเด็นเรื่องอายุความของคดีทรมาน ซึ่งไม่ควรมีอายุความ แต่ในกฎหมายไทยยังคงให้มีอายุความ เช่นเดียวกับคดีอาญาทั่วไป
อย่างไรก็ตาม สมชายกล่าวว่า ในช่วง 2 ปี ที่มีการบังคับใช้กฎหมาย พบว่ามีมาตรการที่ใช้ได้ผล เช่น มาตรการในการป้องกัน อย่างการให้เจ้าหน้าที่ติดกล้องประจำตัวในขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือการจัดทำรายงานบันทึกการจับกุม ส่งผลให้ในช่วงเวลานี้ การร้องเรียนการซ้อมทรมานและการอุ้มหายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น
ด้านพรพิมล มุกขุนทด ทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จของ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ในกรณีเกี่ยวกับการห้ามผลักดันผู้ลี้ภัยทางการเมือง หรือเป็นคนที่เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกลับไปยังประเทศต้นทางว่า
“มีเคสผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวกัมพูชา ที่ลี้ภัยมายังประเทศไทย แล้วก็ถูกเจ้าหน้าที่ ตม. จับกุม มีภาคประชาสังคมช่วยกันติดตามว่าเขาถูกจับกุมไปที่ไหน หลังจากนั้นเราก็ได้เข้าไปร่วมพูดคุยกับเขาว่า เขาอยากกลับไปประเทศต้นทางของเขา ที่เขาลี้ภัยมา หรืออยากจะไปประเทศที่สาม ที่เขารู้สึกปลอดภัยกว่า เขาก็แจ้งกับเราว่า ถ้าเขาถูกส่งกลับไป เขาตายแน่”
“เราพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ตม. ว่าตอนนี้เรามีมาตรา 13 แล้ว ก็คือห้ามผลักดันกลับ ถ้าเขาต้องกลับไปในพื้นที่เสี่ยงอันตราย หลังจากนั้น ตม. ก็ตัดสินใจที่จะไม่ส่งเขากลับไปยังประเทศต้นทาง ก็ควบคุมตัวเขาไว้ที่ ตม. และเคสนี้ได้ไปประเทศที่สามแล้ว เรากำลังจะบอกว่าเจ้าหน้าที่ ในทางปฏิบัติหรือบังคับใช้จริง ก็ทำได้ แล้วก็ไม่ละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของคนด้วย” พรพิมลกล่าว

ข้อท้าทายที่ทำให้กฎหมายกลายเป็นกระดาษเปล่า
นอกจากการออกกฎหมายเพื่อเอื้อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว วัตถุประสงค์หนึ่งของการร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย คือการทลายกรอบแนวคิดแบบอำนาจนิยม ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
“ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงมีบทบัญญัติให้มีสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ มากมาย เช่น ให้อัยการดูแลการสอบสวน ถ้าเกิดว่ามีการจับบุคคลไปทรมาน ไปคุมขังโดยมิชอบ ก็สามารถร้องต่อศาลให้ทำการไต่สวนได้ อย่างเช่นในกรณีที่เราได้ร้องไปที่ศาลในกรณีจะส่งกลับอุยกูร์ อย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้ศาลไต่สวน แต่เป็นที่น่าเสียดายครับว่า เรื่องต่างๆ เหล่านี้ สองปี ยังอยู่ในกระดาษเป็นส่วนใหญ่” สมชายกล่าว
ก่อนหน้านี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายในกรณีทรมานและบังคับสูญหาย รวมถึงกรณีอื่นๆ เช่น การกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในค่ายทหาร และตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายบังคับใช้ ข้อมูลของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุว่า มูลนิธิมีการยื่นเรื่องร้องเรียนไปแล้ว 24 กรณี (ตัวเลข ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568) มีเพียง 1 คดีที่เข้าสู่กระบวนการศาล คือกรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ที่เสียชีวิตจากการฝึกในค่ายเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย
นอกจากนี้ มี 3 คดีที่อัยการสั่งยุติการสืบสวนแล้ว ได้แก่ คดีของนักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกบังคับสูญหายในต่างประเทศ ประกอบด้วย สยาม ธีรวุฒิ, สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และชัชชาญ บุปผาวัลย์ โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำการอุ้มได้ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐไทย กรณีการยุติการสืบสวนนี้ สุพัตรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สะท้อนว่า
“ในกฎหมายเขียนว่า ถ้าคดีขึ้นสู่ศาลและศาลกำลังพิจารณาอยู่ กสม. ไม่มีอำนาจไปตรวจสอบอีกนะคะ มันต้องยุติเรื่อง ทุกเรื่องก็เป็นอย่างนี้ มันมีเรื่องของอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายบังคับเอาไว้” สุพัตราอธิบาย
นอกจากนี้ อีกหนึ่งกรณีที่ยังคงไม่มีความคืบหน้า คือกรณีของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกบังคับสูญหาย ขณะลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งพรพิมลให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าใดๆ จากอัยการ ว่าตอนนี้มีการสืบสวนสอบสวนถึงไหนแล้ว เรื่องเป็นอย่างไร ซึ่งนับเป็นเวลา 1 ปี 8 เดือนแล้ว ที่ทางมูลนิธิรอรายละเอียดการสืบสวนสอบสวน
ตัวเลขคดีที่เข้าสู่กระบวนการศาลเพียง 1 คดี การยุติการสืบสวนสอบสวนถึง 3 คดี รวมทั้งยังมีอีกหลายคดีที่ไม่มีความคืบหน้า สะท้อนให้เห็นปัญหาในการใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ เริ่มตั้งแต่ “ต้นน้ำ” อย่างทัศนคติของเจ้าหน้าที่ ซึ่งสุพัตราสะท้อนจากประสบการณ์ว่า

“พอกฎหมายฉบับนี้ออกมา มีคำถามจากเจ้าหน้าที่รัฐออกมาเลยว่า ‘นี่เป็นกฎหมายช่วยโจรหรือเปล่า’ คำถามแบบนี้มันสะท้อนความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ จริงๆ กฎหมายมันช่วยทุกฝ่ายนะ ช่วยปกป้องเจ้าหน้าที่ด้วยซ้ำ แต่ว่าความเข้าใจแบบนี้ ดิฉันคิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลาในการช่วยกันขุดรากถอนโคนเรื่องพวกนี้ไป” สุพัตรากล่าว
ด้านพรพิมลเสริมว่า ปัญหาในการใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนแรกของกระบวนการ นั่นคือการร้องเรียน
“ส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เราต้องไปแจ้งความ พาญาติไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่จะถามเราว่าใครเป็นคนอุ้ม ซึ่งเราไม่รู้แน่นอน ถามกับญาติว่าใครเป็นคนอุ้ม ไม่มีทางที่เราจะรู้ เราถึงต้องมาแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐให้ไปตามหาว่าใครเป็นคนอุ้ม”
นอกจากนี้ หลังจากได้ “ทดสอบระบบ” พรพิมลพบปัญหาและอุปสรรคมากมายในการใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตีความเรื่องการควบคุมตัว ที่เจ้าหน้าที่หลายคนมักใช้วิธี “เชิญไปดื่มกาแฟ” เพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามีการควบคุมตัว ทั้งยังไม่ต้องบันทึกภาพด้วยกล้องประจำตัว รวมทั้งการตีความเรื่องการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือข้อหาเรื่องการบังคับคนให้สูญหายยังมีปัญหาอยู่มาก และยังคงพบเห็นอยู่ตลอดสองปีที่ผ่านมา
“เราเห็นว่าการทรมานตอนนี้น้อยมาก เราไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานเลย แต่เราได้รับเรื่องเกี่ยวกับการที่ทหารสั่งให้ถอดเสื้อผ้า ให้ยืนตากฝน ให้มีการกระทำที่แยบยลกว่า เขามีวิวัฒนาการที่ไม่ใช่ดีขึ้น แต่มีวิวัฒนาการที่หลีกเลี่ยงข้อกฎหมายได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น เรา ในฐานะคนมอนิเตอร์ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่รับเรื่องร้องเรียนก็ต้องมีพัฒนาการในการรับเรื่องตามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐให้ทันมากขึ้น” พรพิมลกล่าว
สมชายได้สะท้อนให้เห็นถึงรากของปัญหาการทรมานและการอุ้มหาย ที่ส่งผลกระทบทำให้การใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
“สิ่งที่น่าเสียใจก็คือว่า ในกรณีหรือคดีการทรมาน การอุ้มทรมาน หรือการอุ้มหาย ที่เกิดจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลในรัฐ ที่เราเรียกว่า Deep State เช่น กรณี 9 ผู้ลี้ภัยในประเทศอินโดจีน กรณีที่มีการแทรกแซงโดยรัฐ เช่น กรณีอุยกูร์ รวมทั้งกรณีการส่งกลับชาวกัมพูชา ที่เป็นผู้ลี้ภัย ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากองค์การสหประชาชาติแล้ว ไปเมื่อเดือนที่แล้ว 7 คน มีเด็กอยู่ในนั้น 1 คน พวกนี้เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ไปเข้าคุกที่กรุงพนมเปญ นี่เป็นการแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหามาก”
“อันที่สอง ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในทางการเมือง แต่ขาดเจตนารมณ์ทางการเมือง ไม่ตัดสินใจและพยายามที่จะเบี่ยงเบนการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ การเยียวยาโดยหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่ต้องผ่านกระบวนการทางศาล เราออกระเบียบมาแล้ว อนุมัติโดยคณะกรรมการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติตัวเงินจากกระทรวงการคลัง ส่งไปแล้ว 1 ปี ติดตามทุกระยะ ทั้งคำพูดและจดหมายติดตามไป 5 ฉบับแล้ว ไปพูดด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่มีการอนุมัติจากกระทรวงการคลังในเรื่องเม็ดเงิน อันนี้ก็เป็นปัญหาว่า รัฐบาลขาดเจตจำนงทางการเมืองที่จะทำ” สมชายอธิบาย

เสียงสะท้อนจากญาติผู้เสียหาย: ว่างเปล่า ไร้ความคืบหน้า ต้องรอต่อไป
สำหรับมุมของผู้เสียหาย การมี พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ไม่ได้สร้างความหวังหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความหรือการเยียวยา
“ไม่มีเลยค่ะ เงียบเฉย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าถ้าเขาลงมือทำมันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าตั้งใจ ไม่ถึงสองปีหรอก แม่ว่าต้องสำเร็จ ในเรื่องการเยียวยาหรือช่วยเหลือผู้สูญเสียหรือผู้เสียหาย”
“สยามหาย 5 ปีแล้ว ก็ไม่ช่วยเราตามนะ แต่มาตามที่บ้านเรานะ มาหาที่บ้านเรา เฝ้าดูว่าจะมาตอนไหน อยู่ตอนไหน 5 ปี แม่ก็ไปยื่นเรื่องบุคคลสาบสูญ ท่านก็บอกว่ายังอยู่ อ้าว! อยู่ที่ไหน ไม่เอามาให้เราล่ะ” กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ธีรวุฒิ นักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกอุ้มหายขณะลี้ภัยที่ประเทศเวียดนามกล่าว
ในอีกมุมหนึ่ง แม้จะมีความคืบหน้าและคดีได้เข้าสู่ศาล แต่กลับมีการใช้เทคนิคทางกฎหมายประวิงเวลา ทำให้ความยุติธรรมที่ควรจะเกิดขึ้นกับผู้เสียหายนั้นล่าช้าออกไปอีก ดังกรณีของพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ที่ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว
แก้วกัญญา แซ่ลี ภรรยาของกิตติธรเล่าว่า กิตติธรไม่เคยชอบการเป็นทหาร แต่เมื่อต้องถูกเกณฑ์ทหาร ก็จำใจไป โดยคิดว่าอาจจะไม่เป็นอะไร ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ตอนที่หนูได้ไปเยี่ยมเขา เขาบอกว่าเขาได้ไปเห็นการกระทำของครูฝึก ที่เกินกว่าการที่เราไม่สามารถไปทำกับคนคนหนึ่งได้แบบนั้นค่ะ เขาบอกว่าเขากลัว เขาไม่อยากไปอยู่ในนั้น อยากออกมาอยู่กับหนู ตอนนี้หนูก็มาคิดว่า ถ้าตอนนั้นหนูรู้ว่าเขาไม่ปลอดภัย เราจะไปร้องเรียนกับใครได้บ้าง แล้วพาเขาออกมากจากตรงนั้น ตอนนั้น เขาก็คงจะไม่ได้มาเจอเหตุการณ์แบบนั้น”
“เป้าหมายในชีวิตของเขา เขาอยากเปิดโรงเรียนสอนภาษาเกาหลี เพื่อสอนคนที่เขาตั้งใจอยากไปทำงานที่ประเทศเกาหลีอย่างถูกกฎหมาย แต่เขาต้องไปเป็นทหาร แล้วเขาก็มาตาย ตายกับเรื่องที่เขาไม่ชอบ” แก้วกัญญาเล่าทั้งน้ำตา
อาจเรียกว่าเป็นโชคดี ที่เมื่อแก้วกัญญาและครอบครัวยื่นเรื่องร้องเรียนต่ออัยการจังหวัดเชียงราย อัยการได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลและสอบปากคำพยานในค่ายทหาร และการยื่นเรื่องฟ้องตามมาตรา 6 ก็คือเป็นการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เหตุเพราะว่ามีการลงโทษ แช่น้ำ หรือว่ามีการสั่งให้นอนในชุดที่เปียก ในศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นศาลพลเรือน ซึ่งนับเป็นคดีแรกที่ผู้กระทำความผิดเป็นทหารได้ขึ้นศาลพลเรือนอย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายทหารคู่กรณีกลับยื่นเรื่องต่อศาล ให้ย้ายคดีไปพิจารณาในศาลทหารแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดพร้อมเพื่อฟังความเห็นของทั้งศาลพลเรือนและศาลทหารว่ามีความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาลตรงกันหรือไม่ ก็ปรากฏว่าศาลทหารยังไม่ได้ทำความเห็นว่า คดีพลทหารกิตติธรจะอยุ่ในเขตอำนาจศาลทหารหรือไม่ ส่งมายังศาลพลเรือน จึงให้กำหนดนัดฟังอีกครั้ง ภายในเดือนเมษายน 2568 เพื่อไม่ให้ล่าช้าเกินสมควร
“เรื่องกฎหมายบังคับได้จริงไหม เราในฐานะคนที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มาตลอด เราคิดว่าบังคับได้จริง แต่ทุกมาตราไหม อีกเรื่องหนึ่ง และเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามแนวทางหลักเกณฑ์เดียวกันไหม อีกเรื่องหนึ่ง”
“เราคิดว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ดำเนินการมาอย่างถูกต้อง คงไม่มีการรับฟ้องคดีในศาลอาญาทุจริต คงไม่นำไปสู่การสืบพยานในชั้นศาลเป็นปีจนจบสิ้นถึงวันนี้ และเราก็เชื่อในศักยภาพของศาลไทย เราจำเป็นที่จะต้องเชื่อว่าศาลไทยจะปกป้อง คุ้มครอง และให้ความเป็นธรรมกับญาติของเราได้ต่อไปค่ะ” พรพิมลให้ความเห็น

ช่วยกันใช้กฎหมาย เพื่อให้กฎหมายมีผลในทางปฏิบัติ
สำหรับแนวทางที่จะทำให้ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย มีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติ สุพัตรา ในฐานะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มองไปที่การป้องกันเป็นหลัก ผ่านการเป็นภาคีของ พิธีสารเลือกรับภายใต้อนุสัญญา CAT หรือที่เรียกว่า OPCAT ซึ่งส่งเสริมการป้องกันเป็นสำคัญ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะนำหลักการของ OPCAT ไปออกแบบกระบวนการติดตาม ตรวจเยี่ยม เพื่อการป้องกันการทรมานต่อไป รวมทั้งพูดคุยกับหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกองทัพ ในเรื่องการป้องกันการทรมาน
“แต่ว่าสิ่งที่เป็นความเร่งด่วนอีกอันหนึ่งที่คณะกรรมการทรมานต้องเร่งทำ คือการออกระเบียบเกี่ยวกับเรื่องเยียวยา ก็ต้องถามกระทรวงการคลัง ถามกันไปถามกันมาก็ล่าช้าอยู่ดี แต่จริงๆ อันนี้สำคัญ เพราะว่าคนที่เขาสูญเสียหรือคนที่ได้รับผลกระทบ เขาก็เดือดร้อน ก็เป็นเรื่องที่ กสม. พยายามทำอยู่”
“ดิฉันคิดว่าเรื่องที่พวกเรากำลังคุยกันมันทำคนเดียวไม่ได้ มันต้องช่วยกันหลายมือ” สุพัตรากล่าว
นอกจากความหวังในการพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างมีมาตรฐานเท่ากันทุกหน่วยงานแล้ว สมชายเสนอว่า ทุกภาคส่วนต้อง “ช่วยกันใช้กฎหมาย” ต่อไป แม้ว่าจะพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และข้อท้าทายก็ตาม
“ผมอยากจะย้ำว่า ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกรอบทางกฎหมายหรือลัทธิกฎหมาย อำนาจนิยม เราพยายามผลักดันมา 15 ปี เพื่อใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการทลายกรอบทางกฎหมายอันนี้ โดยนำหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศใหม่ๆ เข้ามาใช้ ผมอยากจะให้เราทุกคน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชน ผู้เสียหาย ประชาชนทั่วไป ช่วยกันครับ”
“ที่ผ่านมา 2 ปีนี้ เรายังทำน้อยไปนะ เราต้องการนักกฎหมาย ต้องการองค์กรอื่นๆ ที่ลงมือปฏิบัติมากกว่านี้ การเผยแพร่ องค์กรทำหน้าที่แล้ว การฝึกอบรมมี แต่ไม่พอ มีดจะให้มันคมต้องใช้บ่อยๆ ผมเชื่อว่า เมื่อเราใช้ไปมันจะฟ้องเอง ว่ากลไกของรัฐที่บอกว่าแก้ปัญหาให้ประชาชน เขาทำจริงหรือไม่ เขายกคำร้องเราโดยมีเหตุผลสมควรหรือเปล่า เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน ถ้าไม่มีเหตุผลสมควร ซึ่งครั้งต่อไปไม่แน่ครับ เขาอาจจะรับก็ได้ แต่ถ้าไม่มีการฟ้อง ไม่มีการยกคำร้อง สังคมไม่ตื่นตัวครับ” สมชายทิ้งท้าย
เรื่อง: ณัฐธยาน์ ลิขิตเดชาโรจน์
ภาพ: วิลาสิณี ชัยยัง
กราฟิก: อัญมณี แก้วอะโข










