ในทุกๆ ปี ชายไทยที่อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร กองประจำการ  สังกัดกองทัพบก โดยชายไทยทุกคนจะต้องไปขึ้นทะเบียนไว้เมื่ออายุ 18 ปี และต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการ จนครบกำหนด จึงจะถูกปลดให้เป็นทหารกองหนุน และเมื่ออายุครบตามกำหนดของทหารกองหนุนจึงจะถูกปลดพ้นราชการทหาร ระเบียบเหล่านี้ถูกบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของประชาชนไทยไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 50 (5) ที่บัญญัติหนึ่งในหน้าที่ของปวงชนชาวไทยคือ “รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ” และตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ที่พูดถึงหน้าที่ของชายไทยที่มีระเบียบกฎเกณฑ์การเกณฑ์ทหารไว้โดยเฉพาะ 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีหลายความเห็นในสังคมไทยที่ต้องการที่จะปฏิรูประบบดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ที  ด้วยมองว่าแนวทางอาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัยที่ไม่ต้องการสงครามหรือความรุนแรงอีกต่อไป หรือด้วยเหตุผลหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามกับประสิทธิภาพและประโยชน์ที่แท้จริงของการเข้ารับราชการเกณฑ์ทหารของชายไทย 

เมื่อโลกดำเนินไป หลังช่วงเวลาของสงครามโลกที่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของพลเรือนโลกในทุกมุมโลก ทำให้ทุกคนตระหนักถึงผลที่เลวร้ายของการใช้ความรุนแรง และความสำคัญของหลักสิทธิมนุษยชนในการเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ให้มีสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียม หลายประเทศในโลกจึงได้ยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหารและเปลี่ยนเป็นการรับทหารอาชีพโดยสมัครใจแทน แต่สำหรับกรณีประเทศไทย เมื่อระบบยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชายไทยจำนวนมากก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องทำตามกฎหมายที่บัญญัติไว้

 ในทุกๆ ปี มีชายไทยจำนวนกว่า 80,000 – 90,000 คน1ไทยพีบีเอส. (2567). ยอดเกณฑ์ทหารปี 67 จำนวน 8.5 หมื่น เหลือจับใบแดงใบดำ 4 หมื่น. สืบค้น 6 กันยายน 2567, จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/338660 ที่ไม่ได้เข้าข้อยกเว้นในการเข้ารับราชการทหารฯ ต้องเข้ารับราชการทหารกองเกิน และเป็นทุกๆ ปี ที่สังคมไทยรู้ดีว่าเมื่อการเข้าประจำการเริ่มขึ้น อีกไม่นานจะมีข่าวรายงานการบาดเจ็บสาหัสหรือการเสียชีวิตของพลทหารเกณฑ์ตามมา 

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รวบรวมข้อมูลจากการรายงายข่าวกรณีทหารบาดเจ็บหรือเสียชีวิตระหว่างการผึก ระหว่างช่วงเวลาตั้งแต่พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงปัจจุบัน ในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีกว่า พบว่ามีการรายงานข่าวทหารบาดเจ็บเสียชีวิต หรือถูกลงโทษอันเป็นการปฏิบัติที่โหดร้ายฯ ระหว่างฝึกมากกว่าสิบกรณี 

 กรณีการเสียชีวิตของพลทหารเกณฑ์ มักไม่ได้มีสาเหตุมาจากการรบกับข้าศึกใดๆ พวกเขากลับต้องเสียชีวิตจากการฝึกที่โหดร้ายเกินขีดจำกัดที่มนุษย์คนหนึ่งอาจรับไหว หรือการลงโทษที่ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับสาเหตุที่ต้องปฏิบัติโหดร้ายเช่นนั้นได้ อาจเป็นด้วยระบบอำนาจนิยมที่ฝังรากลึก อาจเป็นที่ปัญหาตัวปัจเจกบุคคลของคนที่สั่งการ อาจเป็นการฝึกด้วยวิธีแบบผิดๆ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด การเสียชีวิตของพลทหารเกณฑ์ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี และน่าตลกร้ายว่าเราทุกคนอาจรู้สึกชาชิน เมื่อมีข่าวรายงานการเสียชีวิตของพลทหารเกณฑ์อีกหนึ่งข่าวเพิ่มขึ้นมา เพราะลึกๆ ต่างเป็นเรื่องที่คาดเดาไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว คำถามคือ ทำไมจะต้องมีอีกหลายชีวิตต้องสูญเสีย หลายครอบครัวที่แตกสลาย เพราะระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้ตอบโจทย์ยุคสมัย และยากที่จะตรวจสอบ และคำถามที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เหตุใดยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสียที

ความฝันของครูสอนภาษาเกาหลีหนุ่มในโลกภายหลังรั้วค่ายทหารต้องแตกดับ กับความหวังของครอบครัวที่พังทลาย

พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต หรือพลทหารมายด์ เข้ารับการเกณฑ์ทหารพลัดที่ 1/66 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 หลังจากที่เข้ากองประจำการได้เพียงประมาณสองเดือน ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 เมื่อแก้วกัลยา แซ่ลี หรือมายด์ ภรรยาของพลทหารกิตติธร คนรักที่มีชื่อเล่นเหมือนกัน เดินทางไปรับพลทหารกิตติธรที่ค่าย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่พลทหารจะได้กลับบ้านเพื่อพักจากการฝึก เมื่อได้เจอพลทหารกิตติธร ภรรยากลับต้องพบว่าพลทหารกิตติธรมีอาการอิดโดรย ตัวซีด ไข้ขึ้น มีอาการร้อนและหนาวสลับกัน เมื่อสอบถามเพื่อนของพลทหารกิตติธรจึงทราบว่าเขามีอาการป่วยมาหลายวันก่อนหน้า และแม้เจ้าตัวพยายามขอให้ทางค่ายส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาล แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล 

เมื่อเห็นอาการไม่สู้ดี ภรรยายืนยันกับทางค่าย ขอให้ส่งตัวสามีตนไปรักษาที่โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช พลทหารกิตติธรจึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชระหว่างวันที่ 14 – 15 กรกฎาคม 2566 ก่อนที่จะเสียชีวิตลงในวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพียงไม่กี่วันต่อมา ด้วยภาวะ ‘ติดเชื้อในกระแสเลือด’

อาการป่วยในระหว่างฝึกทหารเกณณ์ จะมีผลต่อการเสียชีวิตของพลทหารกิตติธรหรือไม่ ตามบันทึกคำบอกเล่าของพลทหารกิตติธรและภริยาของพลทหารกิตติธร ในทำนองว่า ครูฝึกสั่งให้ทหารใหม่ในพลัดดังกล่าว กลิ้ง คลาน คลุกดิน แช่น้ำ ให้นอนค้างคืนในชุดที่เปียก จนกระทั่งเจ็บป่วย และยังถูกสั่งให้มีการฝึกและลงโทษต่อเนื่องดังเช่นการฝึกทหารเกณฑ์ปกติ และแม้พลทหารกิตติธรจะมีอาการป่วยหนัก และร้องขอให้ค่ายส่งตนเข้ารับการรักษาที่ที่โรงพยาบาล ค่ายทหารกลับไม่ส่งตัวพลทหารกิตติธรไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาตามสิทธิขั้นพื้นฐาน และในฐานะที่มนุษย์คนหนึ่งควรได้รับ ทำให้ท้ายที่สุดแพทย์ไม่สามารถรักษาได้ทันเวลา และพลทหารกิตติธรต้องเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน

การเสียชีวิตของพลทหารกิตติธรเป็นข่าวดังในช่วงแรก มีการรายงานข่าวโดยหลายสำนักข่าว กรณีพลทหารกิตติธร เป็นอีกหนึ่งข่าวที่คนไทยได้ทราบและร่วมส่งกำลังใจไปกับความสูญเสียของพลทหารกิตติธร แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน สังคมก็ค่อยๆ ลืมเรื่องของพลทหารกิตติธรและเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป แต่สำหรับครอบครัวของพลทหารกิตติธร นับแต่วันที่เกิดการสูญเสีย ชีวิตของพวกเขาต่างหยุดนิ่ง และเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

“พี่มายด์ (พลทหารกิตติธร) เป็นเสาหลักของที่บ้าน ตั้งแต่เขาเรียนจบมาเขาก็ทำงานตลอดเลย ก่อนจะไปเกาหลี ก่อนจะไปเป็นทหารเขาก็เป็นครูสอนภาษา พอกลับจากเกาหลีก็สอนภาษาเกาหลีต่อ แต่เป็นสอนแบบออนไลน์ พี่มายด์ช่วยเหลือครอบครัวตลอด ตั้งแต่เขาไม่อยู่ทั้งครอบครัวล้มไปเลย ทำอะไรกันไม่ได้ กว่าพ่อแม่พี่มายด์จะกลับไปเริ่มทำงานได้ก็หลายเดือนอยู่” มายด์ ภรรยาของพลทหารกิตติธรเล่าย้อนถึงความหลัง 

“พี่มายด์เรียนจบคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาเกาหลี ปกติพ่อกับแม่พี่มายด์ทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนพวกเราจะอยู่กันที่เชียงราย หลังจากที่เขากลับจากเกาหลีมาเขาเปิดร้านคาเฟ่ แล้วก็ปิดร้านไปช่วงก่อนเกณฑ์ทหาร เพราะว่าพี่มายด์ต้องมาเกณฑ์ทหาร ส่วนหนูก็ท้อง ก็เลยต้องมาอยู่กับพ่อกับแม่ที่เชียงใหม่ ตอนนี้ไม่ได้ทำคาเฟ่ต่อแล้ว” มายด์เล่าถึงชีวิต ‘ก่อน’ ที่สามีของตนจะต้องเข้ารับราชการทหาร 

เมื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี และเป็นครูสอนภาษาเกาหลีแบบเต็มตัว พลทหารกิตติธร หรือพลทหารมายด์ และมายด์ ภรรยา ก็ร่วมกันเปิดร้านคาเฟ่ด้วยกันด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อทำงานหาเงินสร้างตัว สร้างชีวิตคู่ ขณะที่ธุรกิจกำลังไปด้วยดีทุกอย่างก็ต้องชะงักลง เมื่อพลทหารกิตติธรต้องเข้ารับราชการทหาร และมายด์กำลังท้องอ่อนๆ ลูกน้อยของทั้งคู่กำลังก่อกำเนิด ทำให้มายด์ไม่สามารถทำงานหนักได้ คาเฟ่จึงต้องปิดตัวลงส่วนมายด์ก็ต้องย้ายมาอยู่กับพ่อแม่พลทหารกิตติธรที่เชียงใหม่ เพื่อรอพลทหารกิตติธรซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวเสร็จสิ้นจากการเข้ารับราชการทหาร และออกมาดำเนินชีวิตทำมาหากินสร้างครอบครัวตามปกติ

แต่เมื่อเรื่องร้ายเกิดขึ้น เหมือนสายฟ้าผ่าลงมายังบ้านของครอบครัวพลทหารกิตติธร ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทุกคนมืดแปดด้าน เหมือนชีวิตถูกทำให้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ ในขณะที่โลกยังคงหมุนไปเช่นเดิม และกว่าจะตั้งหลักได้ก็ใช้เวลา และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าใดถึงจะเยียวยาจิตใจของพวกเขาให้กลับมาสมบูรณ์ได้ดังเก่า

พ่อของพลทหารกิตติธร เล่าถึงลูกชายของตนที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัว “ตอนลูกชายอยู่ เขาก็ช่วยเราได้ทุกอย่าง เขาได้เงิน เขาก็ส่งมา ช่วยพ่อส่งรถบ้าง ให้แม่ใช้จ่ายบ้าง รถที่ใช้มาวันนี้ยังผ่อนอยู่ พอขาดตรงนี้ไป ก็ไม่มีใครมาช่วย ต้องผ่อนเอง แล้วยังต้องดูแลภรรยา เลี้ยงลูกอีกคนหนึ่ง และดูแลสะใภ้ที่กำลังมีหลาน”

หลังจากพลทหารกิตติธรจากไป มายด์ก็ต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเดินหน้าทุ่มเทเลี้ยงลูกอย่างเต็มกำลัง และจากความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่ต้องเผชิญ ผลักดันให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ต้องเข้มแข็ง และเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามีควบคู่ไปด้วย 

“อยากให้เขารับผิดชอบกับความเสียหายที่ครอบครัวได้รับ ตั้งแต่วันแรกที่พี่มายด์เสียมีคนพยายามบอกมาว่า เราเป็นแค่คนธรรมดาเราจะไปสู้กับเขาได้อย่างไร แต่เราคิดว่าถ้ามายด์อยู่ เขาไม่มีทางยอมให้พ่อกับแม่ลำบากแน่นอน ส่วนนี้เราสามารถไปฟ้องร้อง ไปขอให้ทางหน่วยงานเขามารับผิดชอบกับเรื่องนี้ ถ้าพี่มายด์ไม่ได้เข้าไปอยู่ค่ายทหารในนั้น ถ้าเขาไม่ได้ทำโทษมายด์หนักขนาดนั้นทำให้มายด์เสียชีวิต ก็คงไม่เกิดการสูญเสียขึ้น”

“พอเขาไม่อยู่ พ่อกับแม่เขาเหมือนเริ่มต้นใหม่หมดเลย เขาเลี้ยงลูกคนหนึ่งมา 20 กว่าปี ต้องเสียเงินไปเยอะขนาดไหน ความรักความผูกพันธ์ที่พ่อแม่มีให้กับพี่มายด์ เขาจะต้องเสียความรู้สึกและเสียใจขนาดไหน ในส่วนนี้เราคิดว่าต้องเรียกร้องให้กับครอบครัวให้ได้ เลยพยายามสู้ สู้ให้ถึงที่สุด ไม่รู้หรอกว่าต่อไปหรือแนวทางจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะสู้ไปเรื่อย ๆ อยากรู้ผลตอนจบว่าเราคนธรรมดาจะสามารถไปสู้กับเขาได้หรือเปล่า อยากให้เขารับผิดชอบ ไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นกับใครอีก เพราะว่าคนที่เขาไม่เคยสูญเสีย เขาไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ว่าเราเป็นคนที่เจอเลยไม่อยากให้ใครมาเจอแบบเราอีก”

ในหลายๆ กรณี การเรียกร้องความเป็นธรรม โดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐ ต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ หลายกรณีใช้เวลามากกว่าห้าถึงสิบปีหรือนานกว่านั้น และเวลาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะให้คำสัญญาได้ว่าพวกเขาจะได้รับความเป็นธรรมจากการอดทนรอ แต่เมื่อความเป็นธรรมเป็นสิ่งเดียวที่จะชดใช้เยียวยาและป้องกันไม่ให้เกิดกับใครได้อีก ความยุติธรรมจึงเป็นความหวังสำคัญที่ผู้เสียหายเฝ้ารออย่างมีความหวัง แม้จะริบหรี่ และเหนื่อยหนายจากการต่อสู้ที่ยาวนาน 

ศักดิ์ศรีของทหาร มนุษย์: ‘ไม่มีใคร’ ควรถูกปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ ได้สั่งฟ้องครูฝึกสองนาย ยศร้อยโทและจ่าสิบโท เป็นผู้รับผิดชอบการฝึกพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ในคดีหมายเลขดำที่ ปท. 1/2566 ข้อหาร่วมกันกระทำการโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจ ตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหายฯ)  เนื่องจากพลทหารกิตติธร เวียงบรรพตเสียชีวิต ถูกครูฝึกสั่งให้ฝึกและลงโทษ ต่อมามีอาการเจ็บป่วย และเสียชีวิตจากจากติดเชื้อในกระแสเลือด 

คดีนี้นับเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่พนักงานอัยการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและมีความเห็นสั่งฟ้องตามพ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหายฯ และมีผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม ในขณะที่จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความสิทธิมนุษยชน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ทนายในคดีอาญากรณีพลทหารกิตติธร ให้ความเห็นถึงข้อหาการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุยษ์ในความหมายตามมาตรฐานสากลและตามกฎหมายไทยว่า

“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องที่มากกว่าแค่สิทธิในชีวิตร่างกาย แต่เป็นการพูดถึงศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นคุณค่าที่ติดตัวมนุษย์ทุกคนมา ไม่ใช่แค่ชีวิตร่างกาย ชีวิตร่างกายรัฐอาจลงโทษได้ เช่น เอาเขาไปขังในเรือนจำ เพราะทำผิดกฎหมาย กรณีนี้คือกฎหมายรับได้กับการลงโทษตามกฎหมายและจำกัดสิทธิบางประการ แต่ถ้าการลงโทษเหล่านั้นทำลายคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ณ วันนี้ หลักการสิทธิมนุษยชนรับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการอะไรก็ตามที่ถือว่าไปลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของมนุษย์คนหนึ่งลง เช่น เอาเขาไปคลานเหมือนหมา เอาเขาไปแช่น้ำ เอาเขาไปทำให้สกปรก คืออะไรก็ตามที่ขัดต่อความเป็นมนุษย์ เหล่านี้รับไม่ได้ในหลักการสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะที่ไหนในโลกก็ไม่ยอมรับ”

“การฝึกทหารก็ดี ฝึกตำรวจก็ดี ในอดีต ที่บังคับให้เขากระทำบางสิ่งบางอย่างที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่งลง ทำให้เขากลายเป็นเหมือนสัตว์หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติที่หน่วยงานของฝ่ายความมั่นคงหรืออะไรก็แล้วแต่ทำที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งลูกเสือ หรือการลงโทษของครูในโรงเรียน เหล่านี้ทำไม่ได้ เพราะว่าเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (CAT) หรือแม้แต่มาตรา 6 ของพ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหายฯ ไทย ที่กำหนดไว้ว่าการปฏิบัติใดๆ ที่เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่สามารถยอมรับได้ไม่ว่าจะในพื้นที่ใดในโลก 

การปฏิบัติที่โหดร้ายฯ นั้นมีความหมายกว้างกว่าเพียงการทำร้ายร่างกายทางจิตใจหรือกายภาพ แต่ยังรวมไปถึงการกระทำใดๆ ก็ตามที่ทำให้คุณค่าของมนุษย์คนหนึ่งต้องถูกลดทอน และยิ่งไปกว่านั้น หลักความยินยอมไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุผลที่จะปฏิบัติโหดร้ายฯ กับคนๆ หนึ่งได้ 

“แม้แต่เขายินยอมก็ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เขาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคุณค่าร่วมของมนุษย์ทุกคน คือถ้ายอมให้ทำกับคนๆนี้ได้ โดยอ้างว่าเขายินยอมให้ทำ เช่น เขายอมที่จะโดนแช่น้ำ ยอมที่จะคลานเหมือนหมา ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยินยอม หลักเรื่องความยินยอมใช้ไม่ได้กับเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

ในปัจจุบันที่วัฒนธรรมอำนาจนิยมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และมีการตระหนักรู้ในหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มข้นในประชาคมโลก ก็ถึงเวลาที่กองทัพควรทบทวนและปรับปรุง

“หน่วยงานอาจอ้างว่าการฝึกวินัยทหาร การฝึกอบรมต่างๆ เป็นการทำให้ทหารมีระบบการลงโทษหรือการธำรงวินัย โดยอ้างว่าจะทำให้ทหารมีวินัยมากยิ่งขึ้น แนวคิดเหล่านี้อาจเป็นผลเดิมของวิธีการฝึกในช่วงสงคราม แต่มันไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยให้ทหารมีวินัยเพิ่มจริงๆ แนวคิดเหล่านี้เป็นความคิดของฝ่ายผู้มีอำนาจว่าถ้าหากฝึกแบบนี้ทหารจะดีขึ้น เก่งขึ้น จะมีวินัยเชื่อฟังคำสั่ง เป็นลักษณะการใช้อำนาจเหนือ กรณีพลทหารกิตติธรก็เช่นกัน”

“ผมไม่ได้ว่ากองทัพผิดหรือถูก แต่วัฒนธรรมการฝึกเช่นนี้ควรยกเลิกได้แล้ว นั่นหมายความว่ารัฐธรรมนูญไทยรับรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาตั้งแต่ปี 2540, 2550, และ 2560 รวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หลักการนี้ปรากฏตัวในไทยมานานแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ อีกทั้งหลักการสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองในหลักการสากลมีเยอะแยะมากมาย”

ทนายสุมิตรชัยกล่าวต่อไปถึงความสำคัญของคดีพลทหารกิตติธร คดีที่จะเป็นบทเรียนสำคัญของหน่วยงานความมั่นคง และสังคมไทยโดยรวม เมื่อคดีพลทหารกิตติธร ยเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่มีความผิดตาม พ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหาย กฎหมายภายในประเทศที่พึ่งมีผลบังคับใช้ได้ปีกว่า บัญญัติให้การกระทำที่โหดร้ายฯ เป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ถือเป็นโอกาสที่จะเอาผิดผู้กระทำผิดข้อหาดังกล่าว และโอกาสของสังคมในการค้นหาความจริงและเรียนรู้ร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรม

“เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวพลทหารที่เสียชีวิต ว่าเขาถูกกระทำแบบไหนทำให้เขาไม่สามารถใช้ความเป็นมนุษย์ตอบโต้อะไรได้ ผมคิดว่าเป็นองค์ประกอบที่ศาลต้องใช้ดุลยพินิจมากกว่าคดีตามปกติ เพราะเป็นคุณค่าที่สำคัญมาก เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงตัวผู้เสียหาย แต่หมายถึงคนทุกคนในสังคมไทย พลทหารที่อยู่ในค่าย ประชาชนทุกคนที่อาจจะเจอแบบนี้ได้ในอนาคต เหล่านี้คือ สิ่งที่ศาลต้องตัดสินคดีเพื่อให้คุณค่านี้ถูกยอมรับจริงๆ แล้วทำให้บรรทัดฐานการตัดสินคดีมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมบางอย่างของสังคมไทย ซึ่งจะช่วยทำให้กฎหมายฉบับนี้ทรงคุณค่า และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมไทย จากระบบที่มีการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แต่เดิมให้หายไป” 

อีกหนึ่งคุโณปการของกฎหมายฉบับนี้ และเป็นอีกหนึ่งกุญแจที่ช่วยให้ความเป็นธรรมมาถึงได้เร็วขึ้น คือ  การบัญญัติให้ศาลมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเต็มที่ในคดีประเภทนี้ 

“กฎหมายฉบับนี้ (พ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหายฯ) ใช้ระบบวีธีพิจารณาแบบไต่สวน นั่นหมายถึงว่า ให้ศาลมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นแต่เดิมที่ญาติจะต้องเป็นคนหาพยานหลักฐานมาสู้พิสูจน์ในศาล กรณีนี้ต้องใช้กลไกของรัฐ ตำรวจ อัยการ ในการหาหลักฐานมาพิสูจน์ ซึ่งคดีที่มีคู่กรณีเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ขนาดนี้ การเข้าถึงข้อมูลเป็นเรื่องยาก กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นเครื่องมือที่จะนำกลไกของรัฐเข้ามาช่วยในการแสวงหาข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะนำไปสู่ความจริง นำไปสู่ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบความผิด เป็นหน้าที่ของศาล ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ผู้เสียหาย เจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นเช่นนั้น”

“ผมไม่กังวลเท่าไหร่เรื่องที่ผู้เสียหายไม่มีพยานหลักฐาน นั่นหมายความว่ามันตีกลับไปที่กระบวนการที่เกิดขึ้นในการฝึกและนำไปสู่ความเสียหาย ศาลต้องเป็นคนวินิจฉัยว่ากระบวนการฝึกแบบนี้ ไม่ใช่วินิจฉัยว่าถูกระเบียบหรือไม่ถูกระเบียบ แต่ศาลต้องวินิจฉัยว่า กระบวนการฝึกแบบนี้มันทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไหม มันย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไหม ธรรมเนียนปฏิบัติของทหารเขาต้องออกระเบียบให้ทำได้ แต่ว่าการอนุญาตให้ทำแบบนี้ที่เป็นการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ผิด เมื่อระเบียบที่บอกว่าให้ทำได้นั้น กำลังขัดแย้งต่อหลักการสิทธิมนุษยชน มันก็จะย้อนไปว่าต้องเลิกระเบียบนั้นแล้ว เพราะศาลบอกว่าแบบนี้ไม่ได้”

“ถ้าศาลชี้ให้เห็นว่าต่อให้ถูกระเบียบก็ยังย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ดี จะส่งผลให้กองทัพต้องกลับไปทบทวนตัวระเบียบเพื่อเปลี่ยนแปลง กองทัพอาจจะต้องอบรมครูฝึกใหม่ทั้งหมด ถ้าบอกว่าไม่มีงบประมาณ รัฐบาลก็ต้องออกงบประมาณให้”

‘ขออย่าให้เกิดกับใครอีก’ บทเรียนจากกรณีการเสียชีวิตของพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต และทางข้างหน้า

คดีอาญากรณีการเสียชีวิตของพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ด้วยข้อหาภายใต้กฎหมายใหม่อย่างพ.ร.บ. ทรมาน-อุ้มหายฯ ยังคงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรม ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ นัดสืบพยานคดีดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 – 13 กันยายน 2567 จึงขอเชิญชวนให้สังคมร่วมติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวของพลทหารกิตติธรจะได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง รวมถึงได้รับการชดใช้เยียวยาอย่างครอบคลุมในทุกมิติ โอกาสที่จะนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายในคดีนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญของสังคมไทยที่จะยุติวงจรความรุนแรงในค่ายทหาร และวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ 

นอกจากนี้ สังคมยังสามารถติดตามและจับตาดูการเกณฑ์ทหารในทุกๆ ปี เพื่อช่วยกันรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทหารทุกคน ไม่ให้ถูกลดทอนคุณค่าหรือถูกย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้อีก

สิ่งที่เกิดขึ้นกับพลทหารกิตติธร เป็นบทเรียนสำคัญของกองทัพบก และรัฐไทยที่จะต้องพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับคุณค่าความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักสำคัญของทุกคนในสังคมไทยและสังคมโลก และเราคงต้องมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวังว่าฝันร้ายเหล่านี้ ‘จะไม่เกิดกับใครได้อีกต่อไป’

Author

  • นักเขียนฝึกหัด นักเรียนกฎหมาย และเป็ดที่ทำได้ทุกอย่าง ติดแกลมแต่มีความฝันอยากเป็นนักเล่าเรื่องและนักกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

    View all posts
  • 1
    ไทยพีบีเอส. (2567). ยอดเกณฑ์ทหารปี 67 จำนวน 8.5 หมื่น เหลือจับใบแดงใบดำ 4 หมื่น. สืบค้น 6 กันยายน 2567, จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/338660