เนื่องในวันต่อต้านการทรมานสากล ภายใต้โครงการ Safe in Custody มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับองค์กรในเครือข่าย ได้แก่ สมาคมเพื่อการป้องกันการทรมาน (APT) Suara Rakyat Malaysia (SUARAM) ประเทศมาเลเซีย และ Task Force Detainees of the Philippines (TFDP) ประเทศฟิลิปปินส์ ไปจนถึงองค์กรเครือข่ายอื่น ๆ ร่วมออกแถลงการณ์ (Manifesto) ยืนยันไม่ยอมรับการทรมาน ไม่ว่าจะในรูปแบบหรือสถานการณ์ใด รวมถึงข้อเสนอเรียกร้องให้การควบคุมตัวหรือการจำกัดเสรีภาพจะต้องปลอดภัยและเป็นไปตามหลักกฎหมายซึ่งเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเคร่งครัด 

การสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Pullman King Power มีเป้าหมายในการสรุปโครงการระยะเวลา 3.5 ปี ในชื่อ Safe in Custody โดยนำเสนอผ่านนิทรรศการงานศิลปะที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ และการจัดเวทีเสวนาที่ให้ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรม กลไกและหลักการระหว่างประเทศ ไปจนถึงยุทธศาสตร์การสื่อสารและการรณรงค์ที่มีเป้าหมายในการสร้างทางเลือกและยุติการทรมาน การอภิปรายพันธกิจและบทบาทขององค์กรเครือข่าย ตลอดจนข้อมูลที่ได้จากผู้เสียหายจากการทรมาน และการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ กิจกรรมปิดท้ายด้วยการลงนามในแถลงการณ์ (Manifesto) โดยองค์กรพันธมิตรกว่า 16 รายชื่อ ทั้งองค์กรภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา ไปถึงหน่วยงานภาครัฐทั้งในประเทศไทย ระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศ

เวทีเสวนาที่ 1 ว่าด้วยความสำคัญของการป้องกันการทรมาน  ร่วมเสวนาโดย คุณสุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประเทศไทย คุณ Serafin P. Barretto Jr ปลัดกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะ กระทรวงมหาดไทย ประเทศฟิลิปปินส์ และคุณ Sevan Doraisamy ผู้อำนวยการ SUARAM ประเทศมาเลเซีย

โดยทางผู้แทนจากประเทศไทย  คุณสุภัทรา นาคะผิว (กสม.) ได้นำเสนอพันธกิจและวิสัยทัศน์ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตลอดจนบทบาทหน้าที่ขององค์กร ทางกสม.นั้นกล่าวว่าองค์กรของตนนั้นมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากการถูกซ้อมทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้ทางกสม.ยังเผยถึงจำนวนผู้ร้องเรียนจากความรุนแรงดังกล่าวนั้นมีถึง 44 ราย ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 และได้ดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนเหล่านี้และเสนอแนวทางแก้ไขไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องจากประเทศไทยนั้นมีพันธกรณีในการป้องกันการทรมาน ตามหลักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ตามมาตราที่ 7 และ อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (UNCAT) ตามมาตราที่ 2/1 ทั้งนี้ กสม.ยังได้ทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมเพื่อขับเคลื่อนการผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ยังได้ติดตามการดำเนินการตามกฎหมายต่อต้านการทรมานและหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดจนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งยังสนับสนุนและผลักดันประเทศไทยให้เข้าเป็นรัฐภาคีในพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาฯ (OPCAT) และพร้อมเป็นกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติ (NPM) ทั้งนี้ กสม. นั้นยังได้พัฒนาเครื่องมือในการติดตามและตรวจเยี่ยมสถานที่คุมขัง รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการตรวจเยี่ยมเรือนจำ การสร้างศักยภาพ การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ตลอดจนการป้องกันการทรมานซึ่งเป็นเป้าหมายแรกและสำคัญที่สุดในพันธกิจ 

ถัดมา ในเวทีเสวนาที่ 2 เรื่องแนวทางการสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ หรือหลักการ Mendez Principles ในลำดับแรก Dr Kai Li Chung รองศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชาจิตวิทยา University of Reading ประเทศมาเลเซียนำเสนอความสำคัญขององค์ความรู้ในด้านจิตวิทยาต่อการสัมภาษณ์เพื่อค้นหาความจริง ตามด้วยเวทีเสวนาซึ่งประกอบด้วย คุณสันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสถาบันนิติเวช สำนักงานอัยการสูงสุด พ.ต.ท. เกียรติศักดิ์ จันจะนะ อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้หารือถึงช่องโหว่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวน แต่เดิมนั้นการสอบสวนผู้ต้องหามักจะมุ่งเป้าหรือให้ความสำคัญกับการรับสารภาพ แต่แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาจใช้วิธีการกดดันที่ทำให้ต้องสารภาพอย่างเสียไม่ได้ และเกิดขึ้นในกรณีของการสอบปากคำพยานด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ยังได้มีการหารือว่าด้วยการผลักดันให้มีการใช้หลักการ Mendez Principles และ P.E.A.C.E Model ซึ่งเป็นแนวทางการสัมภาษณ์เพื่อค้นหาความจริงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเน้นการพูดคุย สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (rapport building) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เที่ยงตรง เป็นจริง มากกว่าการเน้นบีบบังคับขู่เข็ญหรือทรมานเพื่อให้ได้คำรับสารภาพ 

นอกจากนี้ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต มันตราภรณ์ ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรสร้างความเข้าใจในพื้นฐานของอำนาจรัฐ ตลอดถึงการให้ความสำคัญต่อแนวทางแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม โดยไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะเจาะจงแค่การฝึกอบรมเพียงอย่างเดียว การทำเช่นนี้จะมีส่วนช่วยในการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนอย่างเป็นธรรม

ในช่วงบ่าย เริ่มด้วยเวทีเสวนาลำดับที่ 3 โดย คุณประกายดาว พฤกษาเกษมสุข รองผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ประเทศไทย คุณ Jerbert Briola ผู้ประสานงานโครงการ TFDP ประเทศฟิลิปปินส์ คุณ Nyak Baqi Kamaruddin SUHAKAM สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประเทศมาเลเซีย ในเวทีดังกล่าวได้นำยุทธศาสตร์การสื่อสารและการรณรงค์ที่เรียกว่า Hope-Based Communication หรือการสื่อสารบนฐานของความหวัง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การรณรงค์ป้องกันการทรมานสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้รับสารที่กว้างขึ้น สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน ผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้สร้างนโยบายได้อย่างครอบคลุม ผ่านการเล่าเรื่องหรือการส่งสารที่สร้างความหวังมาทดแทนความกลัว เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาแทนการผลิตซ้ำความรุนแรง และมุ่งไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทั้งนี้ วิทยากรจากทั้งสามประเทศได้บอกเล่าประสบการณ์การนำแนวทางดังกล่าวไปปรับใช้ในงานรณรงค์ภายใต้โครงการ ไปจนถึงผลลัพธ์และความสำเร็จที่เกิดขึ้น เช่น งานนิทรรศการศิลปะ การประกวดวาดภาพการ์ตูน งานเทศกาลดนตรี งานวิ่งเพื่อยุติการทรมาน การเฟ้นหาเยาวชนนักพูดเข้าแข่งขันระดับภูมิภาค เป็นต้น 

เวทีเสวนาลำดับสุดท้าย ประกอบด้วย คุณ Faydah Maniri Dumarpa คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งฟิลิปปินส์ คุณ Jake L. Basilan หัวหน้าแผนกบริหารจัดการสวัสดิการ สำนักบริหารจัดการเรือนจำและทัณฑวิทยา ประเทศฟิลิปปินส์ และคุณ Ragunath Kesavan จาก SUHAKAM สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย ได้ร่วมกันแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการส่งเสริมสถานที่คุมขังให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมต่อผู้ถูกริดลอนเสรีภาพ

โดยผู้แทนจากประเทศฟิลิปปินส์ได้อภิปรายถึงรูปแบบการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรมในระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำหรืออยู่ในระหว่างการควบคุมตัว รวมถึงการพรากเสรีภาพและการทำให้ผู้เสียหายไร้ซึ่งอำนาจด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นถือเป็นการละเมิดและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง เช่น การคลุมหัว คุมขังในที่แคบและมืด ตลอดจนการทรมานทางไซเบอร์ (cyber torture) โดยการกระทำดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายเกิดความยากลำบากในการกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติในสังคม ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการหารือร่วมกัน และนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ภาคประชาสังคมจากฝั่งประเทศฟิลิปปินส์ได้เสนอว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นถือเป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการปกป้องสิทมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าทางภาครัฐนั้นมักใช้เทคโนโลยีในทางที่มิชอบ เช่น การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมาย และการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม 

นอกจากนี้ ผู้แทนจากประเทศฟิลิปปินส์ยังเน้นย้ำถึงปัญหาคุกที่แออัด ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนมีผู้ต้องหาจำนวนมากที่ถูกทรมานย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น การถูกทุบตีทำร้าย และการถูกขังลืม ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการอภิปรายถึงการผลักดันการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่โปร่งใส ไร้ซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชน และผลักดันอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวที่ฝ่ายประสาสังคมสามารถตรวจสอบได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการแจ้งล่วงหน้า เพื่อสร้างมาตรฐานของกระบวนการควบคุมตัวให้เป็นไปตามหลักสากลร่วมกันตามข้อกำหนดของแมนเดลา (Mandela Rules) และ OPCAT ดังที่ทางการฟิลิปปินส์ได้ให้สัตยาบันเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นถึงกรณีที่ผู้เสียหายมีความยากลำบากในการกลับคืนสู่สังคมปกติ ไม่ว่าจะเรื่องสภาพจิตใจที่บอบช้ำ หรืออับอายที่จะเผชิญหน้ากับสังคม ทางภาคประชาสังคมฟิลิปปินส์จึงได้พยายามผลักดันให้มีการจัดตั้งโครงการเยียวยาสภาพจิตใจ ตลอดจนการจัดให้มีโครงการอบรมเพื่อสร้างวิชาชีพให้แก่ผู้ต้องหา เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการปกป้องสิทธิมนุษยชนและสร้างสันติภาพแบบองค์รวมในสังคม

ขณะเดียวกันในประเทศมาเลเซีย การป้องกันการทรมานยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยมีปัญหาต่างๆ เช่น การคุมขังที่มีการล่ามโซ่ตรวน การเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว การควบคุมตัวโดยพลการ ตลอดจนความท้าทายและอุปสรรคของประเทศมาเลเซียในการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญา UNCAT เพื่อรับมือแก้ไขปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องมีการสร้างกลยุทธ์ต่างๆ ได้แก่ ออกกฎหมายหรือนโยบาที่เกี่ยวข้องย โดยหนึ่งในตัวแทนภาคประชาสังคมอย่าง SUARAM ได้มีการเปิดตัวงานวิจัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายสำหรับการลงโทษทางกาย และการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณะชนต่อแนวทางในการป้องกันการทรมานผ่านโครงการ Safe in Custody และ #Act4CAT รวมถึงการฝึกอบรมหลักสิทธิมนุษยชนแก่เจ้าหน้าที่รัฐด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในกระบวนการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาเช่น เทคนิคการสอบสวนที่จำกัดและการอบรมฝึกฝนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ การกล่าวหาที่เป็นเท็จ ตลอดจนนิติวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ใดๆ ในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (junk forensic science) 

สำหรับกิจกรรมปิดท้าย เป็นการอ่านแถลงการณ์ (Manifesto) โดยเยาวชนผู้ชนะการประกวดการพูดในที่สาธารณะ คุณ Bernadette Fae Taroc และพิธีกรได้กล่าวเชิญผู้แทนองค์กรพันธมิตรขึ้นมาลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ถ่ายรูปร่วมกัน และกล่าวปิดงานโดย คุณ Barbara Bernath เลขาธิการสมาคมเพื่อการป้องกันการทรมาน (APT) 

แม้โครงการ Safe in Custody จะสิ้นสุดระยะเวลาโครงการลงอย่างเป็นทางการ แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และองค์กรพันธมิตรทุกองค์กร ขอยืนยันว่าจะทำงานร่วมกันอย่างตั้งใจ เพื่อให้สังคมของเราปลอดภัย ปราศจากการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม ธำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนของเราทุกคนต่อไป

อ่านแถลงการณ์เพิ่มเติมได้ที่: #SafeInCustody Manifesto | APT

#SafeinCustody #TorturefreeThailand

Author