เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 มีการจัดเวทีเสวนาหัวข้อ “คำบอกเล่าจากศิลปะ: ประวัติศาสตร์จากประชาชน” ภายในงาน “ความหวังหลังความเจ็บปวด : วังวนความรุนแรงทางการเมือง ผ่านเรื่องเล่าจากผู้ได้รับผลกระทบ” 

โดยมีวิทยากรเข้าร่วมแลกเปลี่ยนได้แก่… 

วิทยากร (บรรยายภาษาอังกฤษ โดยมีล่ามแปลภาษาไทยควบคู่)

Gerda Liebmann 

Indria Fernida จาก Asia Justice and Rights 

อานนท์ ชวาลาวัณย์ จาก พิพิธภัณฑ์สามัญชน 

ผู้ดำเนินรายการ: นัทธมน ศุภรเวทย์

วันนี้มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงได้รวบรวมความเห็นบางส่วนที่วิทยากรได้ร่วมแลกเปลี่ยนมานำเสนอ

อานนท์ ชวาลาวัณย์ จาก พิพิธภัณฑ์สามัญชน

“ปัญหาของการบันทึกประวัติศาสตร์ไทยนั้นคือการนำเสนอเรื่องราวของชนชั้นสูงในประวัติศาสตร์ชาติไทยเพียงด้านเดียว ที่ชนชั้นสูงในแต่ละยุคต้องการจะสื่อเท่านั้น หากเป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมือง ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น เราจะสังเกตได้ว่าข้อมูลเหล่านี้หาได้น้อยมากในตำราต่าง ๆ ซึ่งต่างจากประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับคุณงามความดีของราชวงศ์และชนชั้นสูงในแต่ละยุคสมัย”

“ในบางครั้งบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ก็ได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้คนรุ่นหลังที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อที่ได้รับผลกระทบความรุนแรงทางการเมือง แม้วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”

“การที่เราต้องการตีแผ่เรื่องราวของเหยื่อผ่านทางงานศิลป์เหล่านี้ ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและเป็นที่ปลอดภัยให้เหยื่อเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่แค่ต้องการตีแผ่อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความสมัครใจของผู้ได้รับผลกระทบเลย”

Gerda Liebmann 

“มันไม่สำคัญหรอกว่าผลงานของผู้เสียหายจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองจะหน้าตาเป็นอย่างไร หรือสมบูรณ์แบบเหมือนกับผลงานของศิลปินมืออาชีพหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถสะท้อนความรู้สึก และระบายความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจพวกเขาอย่างไร”

“มันคงจะดีมากหากเสียงของผู้เสียหายจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางเมืองเป็นที่ได้ยิน และได้รับความสนใจมากขึ้น และคงจะดีไม่น้อยหากพวกเขาสามารถแบ่งปันเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นให้สาธารณชนได้รับรู้”

Indria Fernida จาก Asia Justice and Rights 

“ภายใต้ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่ใช่แค่งานศิลป์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนเรื่องราวของผู้เคราะห์ร้ายที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองได้อย่างชัดเจน และสามารถเป็นสื่อกลางให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความรุนแรงทางการเมืองได้อย่างทั่วถึง”

“การที่เรามาจากสายการทำงานที่ต่างกันนั้นไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปินหรือทนายความ หากแต่มีอุดมการณ์เดียวกันที่จะช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิ์ให้แก่มนุษย์ทุกคนนั้น ย่อมจะฝ่าฝันปัญหาไปด้วยกันได้”

“ปัญหาที่พบได้ในบางกรณีคือ องค์กรที่ทำงานกับผู้ได้รับผลกระทบ บางกลุ่มนั้นยังคงขาดตกบกพร่องในการให้ความสำคัญต่อหลักสิทธิมนุษยชนในการเผยแพร่ผลงานของผู้ได้รับผลกระทบโดยไม่ได้คำนึงถึงการยินยอมในการเผยแพร่ผลงานจนอาจส่งผลกระทบทางจิตใจมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ในการส่งสารแก่สาธารณชนและสื่อสารกับผู้ได้รับผลกระทบ ดังนั้นการสร้างความไว้ใจนั้นสำคัญมาก”

Author