[:th]พรบ. ต่อต้านการทรมาน[:]

[:th]เปิดร่างพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. ….[:]

Share

[:th]

กระทรวงยุติธรรมได้ริเริ่มให้มีการร่างพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. …. ที่มีการนำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีที่ประเทศไทยพึงนำมาแก้ไขกฎหมายในประเทศให้สอดคล้อง  โดยเฉพาะการบัญญัติให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงทั้งสองประการคือการทรมาน และการบังคับให้สูญหายเป็นความผิดทางอาญา และมีบทลงโทษที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด 

โดยเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557  มีข้อเสนอแนะดังกล่าวมาจากเวทีเสวนาเพื่อพิจารณาร่าง พรบ. ฉบับดังกล่าวจากการระดมความเห็นจากตัวแทนผู้เสียหาย และองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้แก่ตัวแทนมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม, กลุ่มด้วยใจ, เครือข่ายสิทธิมนุษยชนชาวลาหู่, เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี, กลุ่มญาติผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และตัวแทนจากองค์กรของรัฐหลายหน่วยงาน เข้าร่วมรับฟังและเสนอแนะด้วย  สรุปข้อเสนอแนะได้จัดเสนอทำเป็นเอกสารจำนวน 7 หน้านำเสนอต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพร่างกฎหมายฉบับนี้สมบูรณ์และสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสรุปได้ดังนี้คือ

1. การทรมาน และการบังคับให้บุคคลสูญหายมักเกิดกับประชากรบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสในสังคม กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่ขัดแย้งหรือเห็นต่างกับเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มประชากรที่อยู่ภายใต้นโยบายพิเศษบางอย่างของรัฐ เช่น การปราบปรามยาเสพติด การปราบปรามการก่อการร้าย หรือการปราบปรามผู้มีอิทธิพล เป็นต้น

2. การสืบสวนสอบสวนคดีทรมาน หรือการบังคับสูญหายมักไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงความยุติธรรม เนื่องจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ และรับผิดชอบไม่เป็นอิสระ เป็นกลาง และอาจไม่สนใจที่จะทำคดีหรือสืบสวนสอบสวนโดยทันที และอาจ อาจถูกแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพลจึงเห็นว่าในการแต่งตั้งบุคคลกรที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนจำเป็นต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญซึ่งผ่านการฝึกอบรมและการทำงานเป็นมืออาชีพเพื่อให้เกิดความเป็นอิสระและได้รับความไว้วางใจจากผู้เสียหายและญาติ

3. การตรวจรักษาผู้บาดเจ็บจากการทรมานนั้น ต้องการผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และนักจิตวิทยาที่มีความรู้ความเข้าใจเป็นการเฉพาะ ร่างกฎหมายฉบับนี้ควรจะมีการกำหนดการชดเชยเยียวยา รวมถึงค่าชดใช้และการฟื้นฟูเยียวยาทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการฝึกอบรมการใช้คู่มือการสืบสวนและการบันทึกการกระทำทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีอย่างมีประสิทธิภาพ (พิธีสารอิสตันบูล) สำหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมทั้งบุคลากรการแพทย์

4. ในร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องให้ความมั่นใจว่ากรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องได้รับการสืบสวนสอบสวนโดยทันที เป็นกลางและมีประสิทธิภาพโดยต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดแม้ไม่พบตัวหรือไม่พบชิ้นส่วนศพก็ตาม และต้องตระหนักว่าสิทธิในการรับทราบความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของเหยื่อเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้

5. ร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังขาดแนวทางการคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพและต้องกำหนดอย่างชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่คุ้มครองพยานต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเดียวกันหรือใกล้ชิดกับหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาว่าทำการทรมานหรือบังคับให้สูญหาย เพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะไม่มีอิทธิพลต่อกลไกการคุ้มครองพยาน

6. ร่างกฎหมายฯ ยังคงเปิดช่องให้ไม่เปิดเผยข้อมูลต่อญาติและบุคคลภายนอกเป็นเหตุให้เกิดการทรมาน การบังคับบุคคลให้สูญหาย หรือการคุมตัวในสถานที่ไม่เปิดเผยกรณีอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนคดีอาญา ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวอาจจะยังเป็นช่องว่างหรือข้อยกเว้นที่เป็นอุปสรรคต่อการห้ามทรมานและห้ามไม่ให้มีการบังคับให้บุคคลสูญหายโดยเด็ดขาดตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงควรที่จะพิจารณาแก้ไข

7. การทรมานอย่างเป็นระบบ และการบังคับบุคคลสูญหายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime Against Humanity) ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่อาจมีการละเว้นโทษ หรือนิรโทษกรรมได้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

8. การเสริมความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายให้กับผู้เสียหายและเหยื่อซึ่งถ้าหากร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ให้สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมเพื่อการร้องเรียนต่อศาลด้วยเป็นการเฉพาะก็จะช่วยทำให้ผู้เสียหายและญาติเข้าถึงความยุติธรรมได้ทั่วถึงมากขึ้น

การแก้ไขกฎหมายให้ประเทศไทยมีข้อหาทรมาน รวมทั้งการบังคับให้สูญหายนั้นก็เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ ประเทศไทยลงนาม และให้สัตยาบันในอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) เมื่อปี 2550  นับแต่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีแล้ว มีหน้าที่ต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร ทางตุลาการ หรือมาตรการอื่น ๆ ที่มีประสิทธิผลเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำการทรมานในเขตอำนาจรัฐของตน   และยังกำหนดให้ประเทศไทยมีหน้าที่ส่งรายงานต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานเพื่ออธิบายว่า ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ตามอนุสัญญาไปแล้วอย่างไร มีอุปสรรคอะไรบ้าง เป็นต้น

คณะกรรมการต่อต้านการทรมานได้มีข้อเสนอต่อประเทศไทยไว้ใน ในระหว่าง 29 เมษายน-1 พฤษภาคม 2557 มี ตัวแทนของรัฐบาลไทยเสนอรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ณ กรุงเจนีวาระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม 2557 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจัดทำเป็นข้อสังเกตเชิงสรุปในย่อหน้าที่ 8 และ 9 ในข้อ 1 ข้อ 4 และข้อ 5 ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ 

คณะกรรมการฯมีความกังวลเกี่ยวกับการตีความข้อบทในอนุสัญญาฉบับนี้ที่รัฐให้ไว้ใขณะที่รัฐภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งรัฐตีความคำว่า ‘การทรมาน’ ในข้อ1 ข้อ 4 และ ข้อ 5 จะต้องดำเนินการบังคับใช้ให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายอาญาที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นนิยามไม่ตรงกับความหมายของการทรมานในอนุสัญญาฯ คณะกรรมการฯตั้งข้อสังเกตว่า  รัฐประกาศตนมุ่งมั่นที่จะ “ปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศให้มีความสอดคล้องกับอนุสัญญาข้อ1 ข้อ  4  และ ข้อ 5 ในโอกาสแรก” และย้ำความมุ่งมั่นนี้ในรายงาน (ข้อ 60) และในรายงานด้วยวาจา และตั้งข้อสังเกตว่ารายงานหลักของรัฐระบุว่า รัฐกำลังพิจารณาถอดถอนข้อสงวนที่ประกาศที่ทำในเวลาที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนฉบับอื่นๆ ตามที่ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (UPR) (ข้อ 1,4 และ 5) 

คณะกรรมการฯสังเกตว่าการประกาศดังกล่าวตั้งคำถามต่อการดำเนินงานโดยรวมของรัฐตามภาระผูกพันแห่งสนธิสัญญาโดยรวม และด้วยเห็นคุณค่าถ้อยแถลงโดยตัวแทนของรัฐภาคีว่าจะมีความเป็นไปได้ในการถอนข้อตีความที่กล่าวถึง คณะกรรมการฯจึงขอแนะนำให้รัฐภาคีพิจารณาถอนคำประกาศ ตาม อนุสัญญาข้อ 1 ข้อ 4 และ ข้อ 5 ทันที เพื่อให้มั่นใจว่าจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของอนุสัญญาและก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามบทบัญญัติทั้งหมดของอนุสัญญา 

นิยามและการบัญญัติให้การทรมานเป็นความผิดอาญา

คณะกรรมการฯสังเกตว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 32 วรรค 2 มีข้อห้ามการกระทำการทรมาน คณะกรรมการฯมีความกังวลเกี่ยวกับความหมายของการทรมานที่ขาดหาย และไม่มีการบัญญัติให้การทรมานเป็นการกระทำผิดทางอาญา ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ นอกจากนี้คณะกรรมการฯเป็นห่วงว่า ร่างบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการทรมาน (ก) ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของการกระทำทรมานว่ามิได้มีเพียงแต่ตามรายการที่ระบุไว้เท่านั้น แต่อาจหมายรวมถึงเป้าหมายอื่นที่ไม่ได้ระบุด้วย นอกจากนี้ร่างบทบัญญัติฯ ยังไม่ได้รวมถึงวัตถุประสงค์ของการกระทำทรมานอันเนื่องมาจากการเลือกปฏิบัติบัติด้วย (ข) ไม่ได้ระบุความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่สูงกว่าความผิดอาญาธรรมดาตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา ข้อ 1; (ค) บรรจุความหมาย คำว่า”เจ้าพนักงานของรัฐ” ที่จำกัดขอบเขตมากกว่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้; (ง) ไม่ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าห้ามไม่ให้จำเลยที่กระทำการทรมานอ้างเหตุผลใดใดเพื่อความชอบธรรมของการทรมาน ; และ (จ) ไม่ห้ามเรื่องการกำหนดอายุความอย่างชัดเจน คณะกรรมการฯชื่นชมที่คณะผู้แทนให้ความเชื่อมั่นว่าร่างกฎหมายยังคงสามารถแก้ไขได้ 

ข้อบกพร่องข้างต้นนี้ขัดขวางการดำเนินการตามอนุสัญญาอย่างมีนัยสำคัญในมิติของการป้องกันและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการทรมานในประเทศไทย คณะกรรมการฯสังเกตว่ารัฐมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งการแก้ไขร่างที่จะกำหนดนิยามการทรมานและการกระทำความผิดฐานทรมานที่สอดคล้องกับอนุสัญญาข้อ 1 และ ข้อ 4 (ข้อ 1 และ ข้อ 4)

ตามข้อเสนอแนะทั่วไปของคณะกรรมการฯ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2550) คณะกรรมการฯเรียกร้องให้รัฐภาคีแก้ไขกฎหมายโดยมิชักช้า ดังนี้:

(ก) นำนิยามการทรมานที่ครอบคลุมองค์ประกอบทั้งหมดที่มีอยู่ในข้อ 1 ของอนุสัญญา มาใช้
(ข) กำหนดให้การทรมานเป็นความผิดทางอาญาแยกต่างหากและเฉพาะเจาะจงและตรวจสอบให้แน่ใจว่า บทลงโทษสำหรับการทรมานขึ้นอยู่กับความรุนแรงตามความผิดตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา ข้อ 4 วรรค 2
(ค) ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่า การกระทำที่นำไปสู่การทรมานไม่มีอายุความ

Loader Loading…
EAD Logo Taking too long?

Reload Reload document
| Open Open in new tab

Download [373.46 KB]

[:]

RELATED ARTICLES

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading