DSI ปัดความรับผิดชอบและยุติคดีพลทหารศิริวัฒน์ เสียชีวิตระหว่างการฝึกปี 67 อ้างไม่เข้า พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย

16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ครอบครัวของของพลทหารศิริวัฒน์ ใจดี ได้รับหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 แจ้งยุติการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ กรณีพลทหารศิริวัฒน์ เสียชีวิตในขณะเข้ารับการฝึกระหว่างการเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2567 ภายในจดหมาย ดีเอสไอได้ให้เหตุผลว่า เนื่องจากปรากฏในชั้นนี้ว่ายังไม่ใช่คดีความผิดทางอาญาที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะรับไว้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนตาม พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2557 กล่าวคือ ดีเอสไอเห็นว่ากรณีของพลทหารศิริวัฒน์ไม่เข้าความผิดที่จะเป็นการทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอในการทำการสืบสวน  

นอกจากนี้ ในหนังสือระบุว่า ในส่วนที่มีการร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น เป็นกรณีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) จึงได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กับ ปปช. เพื่อให้ทำการไต่สวนและวินิจฉัยต่อไป 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 พี่สาวของพลทหารศิริวัฒน์ ใจดี ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการการทหาร กรณีพลทหารศิริวัฒน์เสียชีวิตระหว่างการฝึก ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 โดยญาติได้ข้อมูลจากเพื่อนทหารว่า วันเกิดเหตุพลทหารศิริวัฒน์ถูกฝึกและถูกสั่งให้วิ่ง ก่อนที่ร่างกายจะทนไม่ไหว ทำให้หน้ามืดและมีอาการชัก  หลังจากนั้นมีเพื่อนพลทหารเห็นว่า ครูฝึกเตะไปที่ขาและซี่โครง พร้อมทั้งตบหน้าของพลทหารศิริวัฒน์ ต่อมาพลทหารศิริวัฒน์มีอาการหมดสติ และไม่มีการนำตัวไปรักษาโดยทันที กลับปล่อยให้พลทหารศิริวัฒน์นอนตากแดดอยู่ที่บริเวณลานปูน โดยไม่มีการปฐมพยาบาลใดๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง แล้วจึงนำส่งโรงพยาบาล จนกระทั่งเสียชีวิตในภายหลัง

หลังจากการเสียชีวิตของพลทหารศิริวัฒน์ ครอบครัวชี้แจงว่าไม่เคยได้รับข้อมูลจากกองทัพเรือแต่อย่างใด  อีกทั้ง เดิมทียังเข้าใจว่าลูกชายเสียชีวิตจากอาการป่วยเท่านั้น  จนกระทั่งครอบครัวได้พุดคุยข้อเท็จจริงกับเพื่อนทหาร และทราบถึงข้อเท็จจริง จึงได้ร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรม

นับแต่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ บังคับใช้ตั้งแต่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 “มาตรา 31 ได้บัญญัติให้พนักงานฝ่ายปกครอง พนักงานสอบสวน คดีพิเศษ และพนักงานอัยการ เป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนและรับผิดชอบตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คดีนั้นเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ แม้ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินคดีต่อไป  และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ” เพียงเท่านั้น 

การกระทำทรมาน, ปฏิบัติที่โหดร้าย และการอุ้มหาย เป็นอาชญากรรมโดยรัฐที่มีลักษณะซับซ้อน อำพรางการกระทำความผิด โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เชี่ยวชาญและทราบกฎหมายเป็นอย่างดี กลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง ดังนั้นอำนาจการสืบสวนสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงควรเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ การบอกปัดความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว เป็นการสร้างภาระให้กับผู้เสียหาย ให้ต้องแสดงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามกฎหมายดังกล่าวที่ต้องการปกป้องคุ้มครอง และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างแท้จริง 

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชน ร่วมกันติดตามความคืบหน้าคดีพลทหารศิริวัฒน์ ใจดี อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ากรณีของพลทหารศิริวัฒน์จะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อค้นหาความจริงในชั้นศาลต่อไป เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและปฏิรูปหน่วยงาน และเป็นหนทางในการป้องกันการสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับชีวิตของพลทหารคนใดก็ตาม

Author