เปิดแนวทางการใช้ “โซ่ตรวน” ทั่วโลก ใช้ยังไง แค่ไหน จึงจะไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 28 ระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย” และ “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้” 

ส่วนมาตรา 29 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ระบุว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ผู้ต้องขังในเรือนจำที่ยังไม่ได้มีคำพิพากษากลับยังคงถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษเด็ดขาด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการสวมเครื่องพันธนาการ ที่เรียกว่า “กุญแจเท้า” และสวมชุดนักโทษสีน้ำตาลเมื่อเดินทางมาขึ้นศาล โดยเฉพาะผู้ต้องขังทางความคิดอย่าง “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่ถูกจำคุกในข้อหามาตรา 112 ที่แม้คดีของเขายังไม่ถึงที่สุด แต่เขาก็ต้องเดินทางมาขึ้นศาลพร้อมเครื่องพันธนาการ ที่สร้างความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ และยังสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังราวกับไม่ใช่มนุษย์ ทั้งที่ในความเป็นจริง พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ระบุว่า ห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่ผู้ต้องขังมีพฤติการณ์ที่จะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น, เป็นบุคคลวิกลจริต, มีพฤติการณ์หลบหนี หรือเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นสมควรเท่านั้น

ภาพของอานนท์ที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ศาสตราจารย์กิตติคุณ ธงชัย วินิจจะกูล ผู้พบเห็น ตัดสินใจยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนกรณีการสวมกุญแจเท้าให้อานนท์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การสวมเครื่องพันธนาการกลับไปเป็น “ข้อยกเว้น” มิใช่ข้อปฏิบัติที่ต้องกระทำต่อผู้ต้องขังทุกคน 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลกลับยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าข้อเท็จจริงชั้นไต่สวนเบื้องต้นยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำร้องของธงชัยจึงยังไม่มีมูลเพียงพอที่ศาลจะออกหมายเรียกพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง (กรมราชทัณฑ์) มาไต่สวน

แม้ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ของไทยจะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานให้สอดคล้องกับหลักสากล เช่น ข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งต่างก็จำกัดการใช้เครื่องพันธนาการ แต่ก็เห็นได้ชัดจากแนวปฏิบัติที่ยังมีช่องว่างระหว่างกฎหมายกับการนำไปใช้ ขณะที่ศาลหลายประเทศทั่วโลกวินิจฉัยแล้วว่า การพันธนาการถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน อันรวมถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และในหลายประเทศ แนวทางการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขัง ก็มักจะกำกับโดยกฎหมายสูงสุดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน

ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีแนวทางการใช้เครื่องพันธนาการในการควบคุมผู้ต้องขังและนักโทษอย่างไร ที่ไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษยชน?

ปากีสถาน

คำวินิจฉัยของศาลชารีอะห์สหพันธรัฐในช่วงปี 2004 ระบุว่า “การใช้ตรวนข้อเท้าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามหลักการอิสลาม และเป็นการละเมิดหลักการศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักอิสลาม” นอกจากนี้ ยังมีคำวินิจฉัยของศาลเกี่ยวกับการต่อต้านการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขัง ได้แก่

  • รายงานการตรวจสอบการกระทำที่โหดร้าย

จากการตรวจสอบโดยศาลสูง มีการเปรียบเทียบสภาพนักโทษในเรือนจำกับสัตว์ในกรงว่า การที่นักโทษถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีพื้นที่ไม่กี่ตารางฟุต หรือการขังเดี่ยวโดยสวมตรวนที่ขา เปรียบได้กับสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้ในสวนสัตว์เท่านั้น แม้แต่สัตว์ในสวนสัตว์ก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่า เพราะพวกมันไม่มีตรวนขา และได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า

  • การประณามการล่ามและการใช้เครื่องพันธนาการ

ศาลวินิจฉัยว่าไม่มีเหตุผลทางศีลธรรมหรือกฎหมายใดๆ ในการนำนักโทษไปล่ามโซ่ตรวน หรือใช้ตรวนขา และเน้นย้ำว่าการล่ามโซ่ขัดขวางความสามารถของนักโทษในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางศาสนา ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติในพระคัมภีร์อัลกุรอาน

  • การเรียกร้องให้มีการปฏิรูป

ศาลสั่งให้ยกเลิกหรือจำกัดการใช้ตรวนขา ตรวนเชื่อม และกุญแจมืออย่างเข้มงวด และยังประกาศว่าสภานิติบัญญัติและฝ่ายบริหารก็มีพันธะผูกพันที่จะต้องลบทิ้งบทบัญญัติใดๆ ที่แสดงถึงการกดขี่

อินเดีย

รัฐธรรมนูญอินเดีย มาตรา 21 ระบุว่า “บุคคลใดจะถูกลิดรอนชีวิตหรือเสรีภาพส่วนบุคคลมิได้ เว้นแต่โดยกระบวนการที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย”

สำหรับประเด็นเรื่องเครื่องพันธนาการ มีคำวินิจฉัยของศาลฎีกาจากคดีฟ้องร้องระหว่างเปรม ชังการ์ ชูกลา กับหน่วยงานราชการของเดลี ในปี 1980 ที่พิจารณาการใช้กุญแจมือและเครื่องพันธนาการต่อผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา โดยศาลฎีกาอินเดียมีคำวินิจฉัยว่า “การใส่กุญแจมือเป็นการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างร้ายแรงตามบทบัญญัติ มาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งรับรองสิทธิในชีวิตและเสรีภาพส่วนบุคคลไว้” ศาลระบุว่าไม่ควรมีการใช้กุญแจมือโดยพลการหรือเป็นประจำ แต่ต้องมีเหตุผลเฉพาะและชัดเจน เช่น มีความเสี่ยงที่น่าเชื่อได้ว่าจำเลยจะหลบหนีหรือใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ ศาลเน้นย้ำว่าคำสั่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องต้องมีเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ

หลักการสำคัญที่ได้จากคดีนี้ ได้แก่

  • การใส่กุญแจมือสามารถกระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันสมควร และไม่สามารถใช้เป็นประจำ
  • การใส่กุญแจมือหรือพันธนาการโดยประมาทในที่สาธารณะเป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดความอับอาย และเป็นรอยด่างในวัฒนธรรม
  • ให้ใช้กุญแจมือเฉพาะเมื่อมีเหตุผลตามกฎที่ใช้กับผู้ต้องขังชั้นดี และให้กระทำได้ต่อเมื่อมี สถานการณ์จำเป็น โดยได้รับอนุญาตตามกฎที่เกี่ยวข้องแล้วเท่านั้น
  • กฎหมายที่สั่งให้ใส่กุญแจมือผู้ต้องหาทุกคน (ซึ่งโดยหลักถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์) ถือเป็นกฎหมายที่อันตราย

คดีฟ้องร้องระหว่างสุนิล คุปตะ กับพวก และรัฐมัธยประเทศ

ศาลฎีกาอินเดียได้พิจารณาการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ซึ่งถูกนำตัวโดยใส่กุญแจมือระหว่างการเดินทาง และถูกควบคุมตัวในสภาพเรือนจำที่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อท้าทายแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ซึ่งใส่กุญแจมือผู้ต้องหาเป็นประจำ โดยไม่มีคำสั่งอนุมัติล่วงหน้าจากศาล และไม่ประเมินว่าแต่ละบุคคลมีความเสี่ยงในการหลบหนีหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือไม่ ศาลได้ย้ำถึงหลักการตามรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคลตามมาตรา 21 โดยระบุว่าการใส่กุญแจมือ ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเป็นกิจวัตรหรือเพื่อความสะดวกของฝ่ายปกครอง ศาลมีคำวินิจฉัยว่า การใช้กุญแจมือจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอย่างแท้จริง และต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาพร้อมเหตุผลประกอบอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ศาลยังตำหนิฝ่าย เรือนจำที่ละเลยมาตรฐานเหล่านี้ และมีคำสั่งให้ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้องในอนาคต

คดีรัฐมหาราษฏระและพวกฯ กับ รวิกานต์ เอส. พาเทล

ศาลฎีกาของประเทศอินเดียได้กล่าวถึง พฤติกรรมอันน่ากังวลในการพารวิกานต์ พาเทล ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี เดินผ่านถนนสาธารณะโดยใส่กุญแจมือและเชือก ศาลตั้งข้อสังเกตว่า การแสดงตัวต่อสาธารณะเช่นนี้และมีประชาชนจำนวนมากพบเห็นนั้น เป็นการละเมิดสิทธิในศักดิ์ศรีและเสรีภาพส่วนบุคคล ตามบทบัญญัติมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ 

ศาลมีคำวินิจฉัยว่า การใส่กุญแจมือหรืออุปกรณ์พันธนาการอื่น ๆ จะสามารถกระทำได้เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นอย่างเคร่งครัดเท่านั้น และต้องได้รับการสนับสนุนด้วยเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าหน้าที่ผู้ มีอำนาจที่เหมาะสม การปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเป็นกิจวัตรหรือในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามนั้นไม่สามารถกระทำได้ ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ แทนการให้ค่าชดเชย คำพิพากษานี้ได้ ตอกย้ำหลักการที่ว่า แม้ในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา ผู้ต้องหายังคงมีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเคารพและเป็นธรรม

เยอรมนี

กฎหมายพื้นฐาน (Grundgesetz) มาตรา 1 “ศักดิ์ศรีของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเมิดได้ การเคารพและปกป้องศักดิ์ศรีนี้เป็นหน้าที่ของอำนาจรัฐทั้งหมด” และมาตรา 104(1) กำหนดให้มีการจำกัดการลิดรอนเสรีภาพและกำหนดให้ต้องมีการกำกับดูแลโดยศาล ดังนี้

(1) เสรีภาพของบุคคลจะถูกจำกัดได้เฉพาะตามกฎหมายเท่านั้น และต้องเป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ผู้ถูกควบคุมตัวต้องไม่ถูกกระทำด้วยวิธีการล่วงละเมิดทางจิตใจหรือร่างกาย 

(2) เฉพาะผู้พิพากษาเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสินความชอบด้วยกฎหมายหรือการต่อเนื่องของการลิดรอนเสรีภาพ หากการลิดรอนเสรีภาพไม่เกิดจากคำสั่งศาล จะต้องได้รับคำสั่งศาลโดยไม่ชักช้า ตำรวจไม่มีอำนาจควบคุมตัวผู้ใดเกินวันถัดจากวันที่จับกุม 

(3) บุคคลที่ถูกควบคุมตัวในเบื้องต้น เนื่องจากต้องสงสัยว่ากระทำความผิดทางอาญา จะต้องถูกนำตัวไปพบผู้พิพากษาไม่เกินวันถัดจากวันที่ถูกจับกุม ผู้พิพากษาจะต้องแจ้งเหตุผลของการจับกุม ซักถาม และให้โอกาสจำเลยในการคัดค้าน ผู้พิพากษาจะต้องออกหมายจับเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมเหตุผล หรือสั่งให้ปล่อยตัวโดยไม่ชักช้า

(4) ญาติหรือบุคคลที่ผู้ถูกควบคุมตัวไว้วางใจ จะต้องได้รับแจ้งคำสั่งของศาลเกี่ยวกับการลิดรอนเสรีภาพโดยไม่ชักช้า การใช้เครื่องพันธนาการต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วน การใส่ตรวนโดยเหมารวมเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

สหราชอาณาจักร

พระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1998 มาตรา 3 ระบุว่า “ไม่มีผู้ใดจะถูกกระทำทรมาน หรือถูกปฏิบัติหรือลงโทษอย่างไร้มนุษยธรรมหรือลดทอนศักดิ์ศรี” ส่วนประเด็นเรื่องเครื่องพันธนาการนั้น ระเบียบเรือนจำ ค.ศ. 1999 ระบุว่า

(1) ผู้ว่าการ (เรือนจำ) อาจสั่งให้นักโทษถูกพันธนาการ หากจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น, สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือก่อความไม่สงบ 

(2) การแจ้งคำสั่งดังกล่าว จะต้องแจ้งโดยไม่ชักช้า ไปยังสมาชิกของคณะกรรมการเยี่ยมเยียน, และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามที่ระบุไว้ในกฎข้อ 20(3) 

(3) เมื่อได้รับแจ้ง, เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์, หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่อ้างถึงในวรรค (2) จะต้องแจ้งผู้ว่าการ (เรือนจำ) ว่ามีเหตุผลทางการแพทย์ใดหรือไม่ที่นักโทษไม่ควรถูกพันธนาการ ผู้ว่าการ (เรือนจำ) จะต้องปฏิบัติตามข้อแนะนำใดๆ ที่อาจทำขึ้นภายใต้วรรคนี้ 

(4) นักโทษจะต้องไม่ถูกพันธนาการนานเกินความจำเป็น และจะต้องไม่ถูกพันธนาการนานเกิน 24 ชั่วโมง โดยปราศจากคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรที่มอบให้โดยสมาชิกของคณะกรรมการเยี่ยมเยียน หรือโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่เรือนจำ) คำสั่งดังกล่าวจะต้องระบุเหตุผลในการพันธนาการ และช่วงเวลาที่สามารถต่อเนื่องได้ 

(5) รายละเอียดของทุกกรณีของการพันธนาการภายใต้บทบัญญัติก่อนหน้าของกฎข้อนี้ จะต้องถูกบันทึกทันที 

(6) ยกเว้นที่ระบุไว้ในกฎข้อนี้ ไม่มีนักโทษคนใดจะถูกพันธนาการนอกเหนือจากการควบคุมดูแลอย่างปลอดภัยระหว่างการเคลื่อนย้าย หรือด้วยเหตุผลทางการแพทย์ตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามที่ระบุไว้ในกฎข้อ 20(3) ห้ามนักโทษถูกพันธนาการเพื่อเป็นการลงโทษ 

(7) วิธีการพันธนาการใดๆ จะต้องเป็นไปตามแบบแผนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และจะต้องใช้ในลักษณะและภายใต้เงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจสั่งการ

แอฟริกาใต้

รัฐธรรมนูญ หมวด 2 

  • มาตรา 10 – ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ระบุว่า “ทุกคนมีศักดิ์ศรีในตัวเอง และมีสิทธิที่จะให้ศักดิ์ศรีของตนได้รับการเคารพและคุ้มครอง” 
  • มาตรา 12(1) – เสรีภาพและความปลอดภัยของบุคคล: 

(1) ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิดังนี้— (ก) ที่จะไม่ถูกลิดรอนเสรีภาพโดยพลการหรือไม่สมเหตุสมผล; (ข) ที่จะไม่ถูกควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดี; (ค) ที่จะเป็นอิสระจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบจากทั้งโดยรัฐหรือเอกชน; (ง) ที่จะไม่ถูกทรมานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง; และ (จ) ที่จะไม่ถูกปฏิบัติหรือลงโทษในลักษณะที่โหดร้าย, ไร้มนุษยธรรม หรือลดทอนศักดิ์ศรี 

  • มาตรา 35(2)(จ) – สิทธิของผู้ถูกจับกุม, ควบคุมตัว และจำเลย: “ทุกคนที่ถูกควบคุมตัว รวมถึงนักโทษที่ถูกตัดสินลงโทษทุกคนมีสิทธิ— ในสภาพการควบคุมตัวที่สอดคล้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงอย่างน้อยที่สุดการออกกำลังกายและการจัดหาโดยค่าใช้จ่ายของรัฐ ที่พักที่เพียงพอ โภชนาการ เอกสารในการอ่าน และการรักษาพยาบาล” 

พระราชบัญญัติบริการราชทัณฑ์ ค.ศ. 1998

  • มาตรา 2: วัตถุประสงค์ของระบบราชทัณฑ์ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์) 

วัตถุประสงค์ของระบบราชทัณฑ์คือการมีส่วนร่วมในการธำรงรักษาและปกป้องสังคมที่ยุติธรรม, สงบสุข และปลอดภัยโดย (ก) การบังคับใช้คำพิพากษาของศาลในลักษณะที่กำหนดโดยพระราชบัญญัตินี้ (ข) การควบคุมตัวนักโทษทุกคนอย่างปลอดภัยและให้คำมั่นในการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ พวกเขา; และ (ค) การส่งเสริมความรับผิดชอบทางสังคมและการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ของนักโทษทุกคนและ บุคคลที่อยู่ภายใต้การแก้ไขฟื้นฟูในชุมชน

  • มาตรา 31 – เครื่องพันธนาการ 

(1) หากจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของนักโทษหรือบุคคลอื่นใด หรือการป้องกันความเสียหายต่อ ทรัพย์สินใดๆ หรือหากมีข้อสงสัยตามสมควรว่านักโทษอาจหลบหนี หรือหากศาลร้องขอ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อาจพันธนาการนักโทษด้วยเครื่องพันธนาการทางกลตามที่กำหนดโดยระเบียบ 

(2) นักโทษจะไม่ถูกนำตัวขึ้นศาลในขณะที่ถูกพันธนาการด้วยเครื่องพันธนาการที่มีเครื่องกล ยกเว้นกุญแจมือหรือตรวนขา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล 

(3) (ก) เมื่อนักโทษถูกขังเดี่ยวหรือแยกขังและจะมีการใช้เครื่องพันธนาการที่มีเครื่องกล การใช้เครื่องพันธนาการที่มีเครื่องกลดังกล่าวจะต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเรือนจำและระยะเวลาอาจไม่เกินเจ็ดวัน ภายใต้บทบัญญัติของวรรค (ข) และ (ค) ผู้บัญชาการอาจขยายระยะเวลาดังกล่าวได้สูงสุดไม่เกิน 30 วัน หลังจากพิจารณารายงานโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หรือนักจิตวิทยา  

(4) ทุกกรณีของการใช้เครื่องพันธนาการที่มีเครื่องกลดังกล่าว ยกเว้นกุญแจมือหรือตรวนขา จะต้องถูกรายงานทันทีโดยหัวหน้าเรือนจำไปยังผู้จัดการพื้นที่ และไปยังผู้พิพากษาผู้ตรวจสอบ  

(5) นักโทษที่ถูกพันธนาการดังกล่าวอาจอุทธรณ์การใช้ดุลพินิจไปยังผู้พิพากษาผู้ตรวจสอบ ซึ่งจะต้องตัดสิน/พิจารณาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากได้รับเรื่องนั้น 

(6) เครื่องพันธนาการที่มีเครื่องกลจะไม่ใช้เพื่อเป็นการสั่งเพื่อการลงโทษหรือมาตรการทางวินัย 

สหรัฐอเมริกา

รัฐธรรมนูญห้ามมิให้มีการใช้เครื่องพันธนาการที่มองเห็นได้ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาคดีของการ พิจารณาคดีอาญาที่มีโทษประหารชีวิต เช่นเดียวกับในช่วงพิจารณาความผิด เว้นแต่การใช้เครื่องพันธนาการนั้นจะ ‘มีเหตุผลอันชอบด้วยประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง’ เช่น เพื่อความปลอดภัยในห้องพิจารณาคดี และต้องเป็นเหตุเฉพาะตัวของจำเลยในคดีนั้น 

บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา มาตราแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 และครั้งที่ 14 ห้ามมิให้ใช้เครื่องพันธนาการที่ปรากฏให้คณะลูกขุนเห็น เว้นแต่ศาลจะมีคำวินิจฉัยโดยใช้ดุลยพินิจว่า การใช้เครื่องพันธนาการนั้นมีเหตุผลอันชอบด้วยประโยชน์ของรัฐ ซึ่งต้องเป็นเหตุเฉพาะเจาะจงกับจำเลยในคดีนั้นเท่านั้น

นอร์เวย์

กฎหมาย/นโยบาย: รัฐธรรมนูญนอร์เวย์

  • มาตรา 92: หน่วยงานของรัฐต้องเคารพและรับรองสิทธิมนุษยชนตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญนี้และใน สนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนที่มีผลผูกพันกับนอร์เวย์
  • มาตรา 93: ห้ามมิให้ผู้ใดถูกทรมานหรือได้รับการปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
  • มาตรา 94: ห้ามมิให้ผู้ใดถูกควบคุมตัวหรือถูกลิดรอนเสรีภาพ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดและตามวิธีที่กฎหมายบัญญัติ การลิดรอนเสรีภาพต้องเป็นสิ่งจำเป็นและต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิที่ไม่ได้สัดส่วน ผู้ถูกจับกุมจะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลโดยเร็วที่สุด ส่วนบุคคลอื่นที่ถูกลิดรอนเสรีภาพมีสิทธิที่จะนำเรื่องการลิดรอนเสรีภาพของตนขึ้นศาลโดยไม่ล่าช้าเกินควร ผู้รับผิดชอบต่อการจับกุมโดยไม่มีเหตุผลหรือการควบคุมตัวที่ผิดกฎหมายจะต้องรับผิดชอบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง

แคนาดา

กฎหมาย/นโยบาย: 

  • กฎบัตรว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของแคนาดา
    • มาตรา 7: ทุกคนมีสิทธิในชีวิต เสรีภาพ และความปลอดภัยในร่างกาย และจะไม่ถูกลิดรอนสิทธิ์เหล่านั้น เว้นแต่เป็นไปตามหลักการแห่งความยุติธรรมขั้นพื้นฐาน” 
    • มาตรา 12: “ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายและผิดปกติ” 
  • การใช้ตรวนและกุญแจมือกับผู้ต้องหา
    • เมื่อผู้ต้องหาถูกนำตัวเข้ามาในห้องพิจารณาคดี ควรปลดกุญแจมือทันทีที่พวกเขาเข้าสู่บริเวณที่นั่งจำเลย เว้นแต่เจ้าหน้าที่ศาลทราบถึงข้อกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับผู้ต้องหารายนั้น ในกรณีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ควรแจ้งอัยการล่วงหน้า เพื่อที่อัยการจะได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาที่รับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม 
    • ศาลจะต้องอนุมัติการใช้ตรวนทุกกรณี และจะใช้ได้ในสถานการณ์ที่พบได้ยากเท่านั้น

นามิเบีย

  • รัฐธรรมนูญมาตรา 8: การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์:
    • (1) ศักดิ์ศรีของบุคคลทุกคนจะถูกละเมิดมิได้ 
    • (2)(ก) ในการดำเนินคดีในชั้นศาล หรือการดำเนินคดีอื่นใดต่อหน้าองค์กรของรัฐ และในระหว่างการบังคับใช้โทษ ต้องรับประกันการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (ข) ห้ามมิให้ผู้ใดถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือลดทอน ศักดิ์ศรี
  • การใช้โซ่/ตรวนข้อเท้าเป็นสิ่งต้องห้าม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถือเป็นสิทธิเด็ดขาด ซึ่งไม่สามารถละเมิดได้ภายใต้เหตุผลทางกฎหมายใดๆ

เคนยา

  • รัฐธรรมนูญแห่งเคนยา
    • มาตรา 28 – ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: “บุคคลทุกคนมีศักดิ์ศรีอันเป็นสิทธิ์ที่มีมาแต่กำเนิด และมีสิทธิที่ จะได้รับการเคารพและปกป้องศักดิ์ศรีนั้น” 
    • มาตรา 29 – เสรีภาพและความปลอดภัยในร่างกาย: “บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยในร่างกาย ซึ่งรวมถึงสิทธิที่จะไม่ถูก— (ก) ลิดรอนเสรีภาพตามอำเภอใจหรือโดยไม่มีเหตุอันชอบธรรม; (ข) ควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดี เว้นแต่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในกรณีดังกล่าว การควบคุมตัว จะต้องเป็นไปตามมาตรา 58; (ค) ถูกกระทำความรุนแรงในรูปแบบใดๆ ไม่ว่าจะจากภาครัฐหรือเอกชน; (ง) ถูกทรมานไม่ว่าในลักษณะใด ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจ; (จ) ถูกลงโทษทางร่างกาย; หรือ (ฉ) ถูกปฏิบัติหรือลงโทษในลักษณะที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือลดทอนศักดิ์ศรี”

เรื่อง: เควิน เจมส์

เรียบเรียง: ณัฐธยาน์ ลิขิตเดชาโรจน์

Author

  • บรรณาธิการและนักเขียนผู้เชื่อในสิทธิเสรีภาพและพลังของการเล่าเรื่อง มีดนตรีเมทัลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และกาแฟเป็นอาหารหลัก

    View all posts