ศาลพลเรือนกับศาลทหารต่างกันอย่างไร? 

วันนี้ (22 กรกฎาคม 2568) สังคมกำลังกล่าวขานเป็นวงกว้างถึงผลคำพิพากษาชั้นฎีกา คดี ‘น้องเมย’ หรือ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร  เสียชีวิตจากการถูกทำร้ายร่างกาย หรือ ธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ เมื่อปี 2560 โดยศาลทหารชั้นฎีกาได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกทหารรุ่นพี่ 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท ให้รอลงอาญา 2 ปี

นอกจากจำนวนโทษที่อาจทำให้เกิดคำถามว่าบางเบาไปหรือไม่สำหรับโทษที่พรากหนึ่งชีวิตไปจากพ่อแม่ตลอดกาล และครอบครัวต้องเฝ้ารอความเป็นธรรมมายาวนานเกือบ 8 ปี  สังคมยังถกเถียงถึงส่วนหนึ่งของเหตุผลศาลทหารที่ระบุใจความว่า 

“ด้วยอายุของจำเลยไม่เคยได้รับโทษ การลงโทษไปก็ไม่เป็นประโยชน์ จึงให้จำเลยปรับปรุงตัวรับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์กว่า”1https://www.facebook.com/photo?fbid=1182444197262962&set=a.654659416708112

ภายหลังทราบคำพิพากษา สุกัญญา ตัญกาญจน์ และพิเชษฐ์ ตัญกาจน์ แม่และพ่อของเมย ภคพงศ์ ให้สัมภาษณ์กับ The Matter ว่า 

“ถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติได้ไหม แล้วจำเลยยังไม่ได้ติด (ลงโทษ) เลย เพราะจะยากต่อการประกอบสัมมาชีพ แต่ลูกพี่ไม่ได้มีโอกาส”2https://www.facebook.com/photo/?fbid=1308143567537007&set=a.813354760349226

ความรู้สึกของครอบครัวน้องเมยได้กล่าวความในใจแทนคนในสังคมที่ตั้งคำถามว่าการสูญเสียของประชาชนนั้นสำคัญน้อยกว่าโอกาสในการเจริญเติบโตทางการงานของบุคคลในเครื่องแบบที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเสียชีวิตจริงหรือ

คดีน้องเมยเป็นอีกหนึ่งคดีอาญาที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ที่กำหนดให้คดีอาญาที่กระทำโดยทหาร ไม่ว่าจะระหว่างทหารด้วยกันเอง หรือกระทำต่อพลเรือนต้องขึ้นศาลทหาร 

ศาลพลเรือนและศาลทหาร แม้จะมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งในเรื่องของเขตอำนาจศาล องค์คณะตุลาการ กระบวนการพิจารณาคดี และสิทธิของผู้เสียหาย ความแตกต่างนี้นำไปสู่คำถามว่าจะสามารถอำนวยความยุติธรรมได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการโดยเฉพาะสำหรับประชาชนทั่วไป

ศาลทหาร VS ศาลพลเรือน

เขตอำนาจศาลและประเภทคดี

ศาลพลเรือนหรือที่เรียกว่าศาลยุติธรรม มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั่วไป ทั้งคดีแพ่ง (เช่น คดีหนี้สิน, สัญญา, ที่ดิน) และคดีอาญา (คดีความผิดต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน, ยาเสพติด, ฯลฯ) ที่พลเรือนกระทำผิด รวมถึงคดีที่ทหารทำผิดร่วมกับพลเรือน ในขณะที่ศาลทหารมีอำนาจพิพากษาคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับบุคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร คือ คดีที่ทหารทำผิดทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นระหว่างทหารด้วยกัน หรือที่กระทำผิดกับพลเรือน โดยศาลทหารมีอำนาจพิจารณาเฉพาะคดีอาญา ไม่รวมคดีแพ่ง

องค์คณะตุลาการ

สำหรับศาลพลเรือน องค์คณะตุลาการประกอบด้วยผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งตามกระบวนการยุติธรรม แน่นอนว่าผู้พิพากษาจะต้องจบกฎหมายและมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจึงได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งตามกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม องค์คณะตุลาการของศาลทหารมีความแตกต่าง โดยตาม พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ได้กำหนดให้สัดส่วนขององค์คณะตุลาการศาลทหารประกอบไปด้วยตุลาการพระธรรมนูญ (ผู้ที่จบกฎหมายและเป็นนายทหาร) และนายทหารชั้นสัญญาบัตร (ไม่ต้องจบกฎหมาย) กล่าวคือ จะมีทั้งผู้ที่จบกฎหมายและนายทหารที่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิทางกฎหมายในการพิจารณาคดี ยกตัวอย่างเช่น ในมาตรา 26 และ 27 ของ พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหารฯ ได้กำหนดให้องค์คณะต้องประกอบไปด้วยตุลาการพระธรรมนูญ 1 นาย และนายทหารชั้นสัญญาบัตร 2 นาย สำหรับศาลจังหวัดทหาร ศาลมณฑลทหาร ศาลทหารกรุงเทพ และศาลประจำหน่วยทหาร

การเข้าถึงสิทธิและกระบวนการยุติธรรม

สิทธิของคู่ความในคดีก็มีความแตกต่างระหว่างศาลพลเรือนและศาลทหาร กล่าวคือ สำหรับศาลพลเรือนทั้งโจทก์และจำเลยสามารถเข้าถึงสำนวนในคดีได้ด้วยตนเอง แต่งตั้งทนายความที่ตนไว้ใจได้โดยอิสระ โดยหากเป็นคดีอาญาแผ่นดินจะมีพนักงานอัยการดำเนินการและผู้เสียหายสามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วมโดยตรงหรือแต่งตั้งทนายความร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับศาลทหาร ประชาชนทั่วไปที่แม้จะเป็นผู้เสียหายโดยตรงก็ไม่สามารถเข้าไปมีสถานะเป็น ‘โจทก์’ โดยตรงในคดีอาญา บุคคลที่จะสามารถเป็นโจทก์ได้จะต้องเป็นอัยการทหารหรือผู้เสียหายซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร3พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16 กำหนดนิยามว่า ‘บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร’ ได้แก่ นายทหารชั้นสัญญาบัตร ช้นประทวน พลทหารกองประจำการหรือประจำการ นักเรียนทหาร ทหารกองเกินที่ถูกเข้ากองประจำการ ตลอดจนพลเรือนที่สังกัดอยู่ในราชการทหาร อันได้แก่ ทหารหรือพลเรือนสังกัดราชการทหาร ตามมาตรา 16 และ 49 พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหารฯ หากผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลทหารก็จะต้องมอบคดีให้อัยการทหารเป็นโจทก์ นั่นหมายความว่า เมื่อไม่ได้เข้าเป็นโจทก์ในคดี ผู้เสียหายอาจไม่สามารถแม้แต่เข้าถึงเอกสารหรือสำนวนคดีทั้งหมด และการดำเนินการทั้งหมดก็จะเป็นไปตามอัยการทหาร และอาจไม่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เสียหายเสมอไปเพราะในทางกฎหมายมองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี

การอุทธรณ์-ฎีกา

ศาลพลเรือนมีกระบวนการอุทธรณ์และฎีกาได้ 3 ชั้น ได้แก่ ศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เช่นเดียวกับศาลทหารที่มี 3 ชั้น เช่นเดียวกับศาลพลเรือน ในกรณีสถานการณ์ปกติ แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นจังหวัดชายแดนใต้ที่มีการประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึก มาตรา 61 พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหารฯ วรรคสอง ได้ห้ามไม่ให้คดีของศาลทหารในเวลาไม่ปกติห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา กล่าวคือ คดีจะเป็นอันสิ้นสุดทันทีที่ศาลทหารชั้นต้นมีคำพิพากษา

ที่ตั้งศาล

ในส่วนสถานที่ทำการก็ค่อนข้างมีความแตกต่าง เพราะในขณะที่ศาลยุติธรรมจะมีที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศในทุกจังหวัดและเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการให้บริการประชาชนทั่วไป  ศาลทหารจะตั้งแยกออกมาต่างหากจากศาลพลเรือน โดยอาจอยู่ในที่เดียวกันกับที่ตั้งหน่วยงานด้านการทหารอื่นๆ เช่น สำหรับศาลทหารในกรุงเทพก็มีที่ตั้งอยู่ข้างกระทรวงกลาโหม หรือในมณฑลทหารบก (มทบ.) ทั่วประเทศจะมีศาลมณฑลทหารตั้งอยู่ภายในค่ายทหารของมณฑลนั้นๆ เช่น ศาลมณฑลทหารบกที่ 11 (ในกรุงเทพ), ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 (ปราจีนบุรี), ศาลมณฑลทหารบกที่ 41 (นครศรีธรรมราช) เป็นต้น ในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าศาลทหารมีส่วนที่ตั้งอยู่กับหน่วยงานทหารด้วยกันเองซึ่งมักเป็นพื้นที่ปิดที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก และอาจจะกล่าวได้ว่าสำหรับทหารกันเองแล้ว การเดินทางไปขึ้นศาลทหารก็ไม่แตกต่างกับการเดินทางไปยังพื้นที่ของหน่วยงานที่ตนเองคุ้นเคย

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หากต่อไปนี้คดีในศาลทหารจะขึ้นศาลพลเรือน

จากข้อจำกัดหลายประการสำหรับประชาชนทั่วไปในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเมื่อต้องขึ้นศาลทหาร เป็นหนึ่งในสาเหตุที่นำไปสู่ มาตรา 34 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่กำหนดให้ทุกคดีในข้อหาความผิดทรมาน อุ้มหาย การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องอยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบซึ่งเป็นศาลพลเรือนทั้งหมด รวมถึงคดีที่ทหารกระทำผิดก็ต้องขึ้นศาลพลเรือน ไม่ไปขึ้นศาลทหารอีกต่อไป เพื่อเป็นหลักประกันว่าคดีเหล่านี้จะได้รับการพิจารณาในศาลพลเรือนที่มีความอิสระและโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เสียหายและสังคมโดยรวม 

แม้กฎหมายฉบับใหม่จะบัญญัติด้วยความตั้งใจดียิ่งในการยกระดับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบังคับใช้ เมื่อคดีแรกของกฎหมายใหม่ฉบับนี้ อย่างกรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ที่เสียชีวิตหลังเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ในหมายเลขคดี ปท. 1/2566 ทหารครูฝึก (จำเลย) ได้มีความพยายามหลายครั้งในการโต้แย้งว่าคดีดังกล่าวควรจะต้องกลับไปอยู่ในศาลทหาร 

ที่ผ่านมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานฯ มาตรา 34 ที่กำหนดให้เขตอำนาจศาลตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตฯ ไม่ใช่ศาลทหารนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย โดยให้เหตุผลว่าจำเลยทั้งสองคนเป็นข้าราชการทหาร  อีกทั้งการฝึกวินัยทหารนั้นมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่จำเป็นในการเตรียมความพร้อมในการรบหากมีสงคราม ซึ่งหากการกระทำของข้าราชการทหารถูกตรวจสอบโดยศาลอื่นอันมิใช่ศาลทหารนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติ ธำรงวินัยทหาร และกระทบต่อความรักษาความมั่นคงของประเทศ

ต่อมาในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ทนายความของครอบครัวพลทหารกิตติธรได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของจำเลยทั้งสอง โดยแย้งว่า การอ้างการฝึกวินัยทหารหรืออยู่ในภาวะสงคราม จะเป็นข้ออ้างหรือข้อยกเว้นที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ กระทำการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงต่อประชาชน อาทิ การกระทำทรมาน การกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และกระทำให้บุคคลสูญหายย่อมกระทำมิได้ นอกจากนี้ เมื่อกฎหมายสองฉบับลำดับศักดิ์เท่ากัน ย่อมบังคับใช้ตามกฎหมายฉบับใหม่กว่า ดังนั้น กรณีนี้ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯ มีลำดับศักดิ์เท่ากันกับ พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2598  เรื่องอำนาจศาลจึงต้องบังคับตาม มาตรา 34 ของ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ซึ่งกระบวนการร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวผ่านการให้ความเห็นจากสมาชิกผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทั้งไทยและต่างประเทศ ภาคประชาสังคม และผู้แทนทางกฎหมายของฝ่ายทหาร จนกระทั่งมีการโหวตผ่านร่างกฎหมายอย่างไม่มีข้อกังขา ด้วยความตั้งใจว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถปกป้องคุ้มครองประชาชนทุกคนโดยอย่างเสมอภาคเท่าเทียม

ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจระหว่างศาล เป็นเหตุให้ต่อมา จำเลยได้ขอให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาคฯ 5  วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 5 ได้ทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจส่งไปยังศาลทหาร เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2567 ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน 2568 คดีอาญาคดีทุจริตฯ ได้อ่านความเห็นของทั้งสองศาล ซึ่งผลคือมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงทำให้คดีอยู่ในอำนาจศาล โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ เห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตฯ ขณะที่ศาลทหารมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยอำนาจระหว่างศาลต่อไป โดยมีนัดฟังคำสั่งของคณะกรรมการฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2568 เพื่อชี้ขาดว่าจะอยู่ในอำนาจศาลพลเรือนหรือศาลทหาร โดยคำสั่งของคณะกรรมการฯ จะเป็นที่สุด

Author

  • นักเขียนฝึกหัด นักเรียนกฎหมาย และเป็ดที่ทำได้ทุกอย่าง ติดแกลมแต่มีความฝันอยากเป็นนักเล่าเรื่องและนักกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

    View all posts
  • 1
  • 2
  • 3
    พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16 กำหนดนิยามว่า ‘บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร’ ได้แก่ นายทหารชั้นสัญญาบัตร ช้นประทวน พลทหารกองประจำการหรือประจำการ นักเรียนทหาร ทหารกองเกินที่ถูกเข้ากองประจำการ ตลอดจนพลเรือนที่สังกัดอยู่ในราชการทหาร