มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ครอบครัว และทนายความ เข้าชี้แจง กมธ. กรณีการย้ายเรือนจำผู้ต้องขังคดีทางการเมือง
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ครอบครัวและทนายความของโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง, ครอบครัวธนายุทธ ณ อยุธยา, ผู้แทนเครือข่ายนิรโทษกรรม, กลุ่มเพื่อนนายอุกฤษฎ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สืบเนื่องจากการยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกรณีการย้ายผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาโดยไม่สมัครใจและการใช้ความรุนแรงในเรือนจำ
ผู้ร้องได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม 2568 กรณีที่นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง, นายธนายุทธ ณ อยุธยา และนายอุกฤษฎ์ สันติประสิทธิ์กุล พร้อมผู้ต้องขังทางการเมืองอีก 1 คน ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เรือนจำพิเศษกรุงเทพว่าไม่ประสงค์จะย้ายการควบคุมไปยังเรือนจำกลางบางขวาง เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัย ในระหว่างเหตุการณ์ บุคคลทั้งสี่ได้พยายามใช้มือคล้องกันเป็นอารยะขัดขืน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าล็อกคอ ล็อกแขน และอุ้มตัวผู้ต้องขังที่ไม่ต้องย้ายคือนายโสภณฯ ไปแดนอื่น และบังคับให้ผู้ต้องขังอีกสามคนแยกออกไป ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ปากแตก เป็นรอยถลอกที่สีข้างและมีรอยแดงที่แผ่นหลัง
ทั้งนี้ สถานการณ์การย้ายผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำอื่น ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยไม่แจ้งให้ทนายและครอบครัวทราบล่วงหน้าหรือชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน ปัจจุบันมีข้อมูลว่าผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำทั้งสิ้นอย่างน้อย 47 คน (ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ วันที่ 1 เมษายน 2568) ถูกย้ายไปเรือนจำบางขวางแล้ว 6 คน
ด้านผู้ถูกร้อง ตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์กล่าวว่า การย้ายผู้ต้องขังไปยังเรือนจำอื่นดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพเป็นเรือนจำผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาในช้้นพนักงานสอบสวนและระหว่างการพิจารณาศาลชั้นต้นเท่านั้น การนำร่องการปรับลดจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 3,500 คน ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากมีผู้ต้องขังใหม่วันละ 20 – 30 คน โดยกำหนดให้แยกผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังชั้นอุทธรณ์-ฎีกาจำนวน 400 คน ไปเรือนจำกลางคลองเปรม และ 500 คน ไปเรือนจำกลางบางขวาง โดยไม่ได้คำนึงว่าเป็นผู้ต้องขังคดีการเมืองหรือไม่
สำหรับขั้นตอนการย้ายผู้ต้องขังกลุ่มนี้ ผู้ถูกร้องยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง การบาดเจ็บอาจเกิดจากการที่ผู้ต้องขังทางการเมืองต่อสู้ขัดขืน หลังจากนั้นได้ให้ทุกคนรับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ ทั้งจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเมื่อแรกรับเข้าสู่เรือนจำกลางบางขวาง
สำหรับการย้ายผู้ต้องขังจะไม่มีการแจ้งญาติหรือทนายเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย และการแยกผู้ต้องขังระหว่างออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาด เป็นนโยบายของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมซึ่งเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี ผู้แทนจากเรือนจำบางขวางยังเน้นย้ำอีกว่าจะให้การดูแลผู้ต้องขังที่มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างเหมาะสม ให้มีนายแพทย์ตรวจร่างกายว่ามีร่องรอยการทำร้ายบาดเจ็บหรือไม่ เรื่องการบริหารจัดการจะแยกแดนให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด โดยผู้ต้องขังทางการเมือง 6 คน จะจัดให้อยู่ด้วยกันในแดน 1 ซึ่งเป็นแดนสร้างใหม่
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ทนายความของนายโสภณ ยืนยันว่า การบาดเจ็บระหว่างการอารยะขัดขืนเกิดขึ้นจริง ครอบครัวที่ไปเยี่ยมเห็นว่ามีแผลถลอกตามตัวชัดเจน
“สังคมไทยยังมีมุมมองว่าเรือนจำบางขวางเป็นเรือนจำคุมขังนักโทษเด็ดขาด ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ต้องขังคดี 112 ที่เป็นคดีเสรีภาพทางความคิด นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าเยี่ยมโดยทนายและญาติที่ไม่สามารถเข้าถึงผู้ต้องขังได้ เราต้องหามาตรการอื่นที่จะช่วยลดทอนความเดือดเนื้อร้อนใจของครอบครัวและผู้ต้องขังคดีการเมือง ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ไม่สอดคล้องและได้สัดส่วนกับคำกล่าวอ้างว่าเป็นไปเพื่อการลดความแออัดของเรือนจำ นอกจากนี้ การอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยหรือการแย่งชิงผู้ต้องหาไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอที่จะไม่แจ้งญาติ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกผู้ต้องขังทางการเมืองไม่ให้อยู่ในแผนย้ายเรือนจำ หรือย้ายพวกเขาให้มาอยู่ด้วยกัน”
จากนั้น ประธานในที่ประชุมกล่าวสรุปประเด็นที่ให้ทางผู้ถูกร้องชี้แจงเพิ่มเติมในประเด็น ดังนี้
- เงื่อนไขในการย้าย
- คุณสมบัติของผู้ถูกย้ายเป็นอย่างไร
- ขั้นตอนในการย้าย
- เกณฑ์การแบ่งผู้ต้องขังย้ายไปเรือนจำกลางคลองเปรมหรือเรือนจำกลางบางขวางเป็นอย่างไร
- การเข้าเยี่ยมและการส่งต่อข้อมูลเอกสารโดยญาติและทนายความมีมาตรการปฏิบัติอย่างไร เหตุใดแต่ละเรือนจำจึงมีมาตรการที่แตกต่างกัน
- วัตถุพยานสำหรับเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น กล้องวงจรปิด เวรระเบียนแรกรับและหลังเกิดเหตุ และคำสั่งหรือเอกสารที่เกี่ยวกับย้ายเรือนจำ เป็นต้น
ด้าน ปฏิมา ฝากทอง ครอบครัวของนายธนายุทธ กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ชี้แจงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องการบาดเจ็บ ไม่มีบาดแผล ทั้งยังชี้แจงได้ไม่ชัดเจนในหลายประเด็น เช่น ไม่ชี้แจงเรื่องเกณฑ์การย้ายนักโทษ ของบุ๊ค (ธนายุทธ) ที่เหลืออีกเพียง 5 เดือน จะครบกำหนดจำคุก แต่คนในบางขวางหลายคนเหลือ 50 ปีขึ้นไป”
พิชยา เกตุอุดม ครอบครัวนายโสภณ ย้ำว่า “เหตุการณ์วันนั้นเรายังไม่มีการเปิดเผยกล้องวงจรปิด และจริงๆ แล้ว ในระหว่างการตรวจร่างกายเก็ท (โสภณ) หลังเกิดเหตุ อยากให้มีผู้ไว้วางใจอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทนายหรือครอบครัว แต่เรือนจำไม่อนุญาต ทำให้เราไม่เชื่อมั่นว่าการตรวจร่างกายมีผลออกมาแล้วจะเป็นไปตามความจริงหรือไม่”
นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีทนายความเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทางการเมืองซึ่งถูกย้ายไปยังเรือนจำบางขวาง เปิดเผยว่ามีผู้ต้องขังทางการเมืองที่เป็น LGBTQ+ ถูกคุกคามทางเพศอย่างต่อเนื่องภายในเรือนจำใหม่ ทำให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ต้องขัง LGBTQ+ รายอื่นมาก่อน ทั้งนี้ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าวแล้ว
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เห็นว่า การย้ายผู้ต้องขังทางการเมืองโดยไม่สมัครใจ ควรคำนึงถึงสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ต้องขังเป็นหลัก โดยเฉพาะการแจ้งล่วงหน้าให้ทนายและครอบครัวทราบ เพื่อให้สามารถเตรียมตัวและติดตามสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ กระบวนการย้ายควรมีความโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ต้องมีมาตรการป้องกันการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ และต้องมีการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังด้วย ขณะเดียวกัน ควรมีการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังที่ถูกย้ายไปเรือนจำอื่น โดยเฉพาะในกรณีที่มีรายงานการคุกคามทางเพศและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้เห็นต่างทางความคิด และ LGBTQ+ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากลในการควบคุมตัวผู้ต้องขัง โดยผู้ต้องขังทางการเมืองจะต้องได้อยู่ในแดนเดียวกัน รวมถึงพิจารณาพื้นที่หรือสถานที่คุมขังเฉพาะในการคุมขังกลุ่มผู้ต้องขังทางการเมือง เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางกายและจิตใจ
มูลนิธิฯ ขอเน้นย้ำว่า ผู้ต้องขังคดีการเมืองเป็นผู้ใช้เสรีภาพในการแสดงออก และพวกเขาไม่ควรถูกคุมขัง ทุกคนต้องได้รับการปล่อยตัวโดยทันที และไม่มีเงื่อนไขการปล่อยตัวผูกพันพวกเขา

![[PR]อัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม กรณียุติการสืบสวนเหตุชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกอุ้มหาย – ฆาตกรรม](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/24-12-68-1-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลกัมพูชาสั่งยุติการสอบสวนกรณีการบังคับสูญหาย “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/23-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ลงโทษจำคุก 1 ปี ครูฝึก 2 นาย กรณีพลทหารกิตติธร เสียชีวิตหลังเข้ารับการฝึกเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/18-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 5 นัดฟังคำพิพากษา กรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตหลังฝึกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/17-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]คืบหน้า! รมต. ยุติธรรมรับทราบกรณีส่งกลับ “อี ควิน เบดั๊บ” มอบหมายกรมคุ้มครองสิทธิฯ ดำเนินการต่อ](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/15-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)