จากที่มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอสั้น “บรรเทาไมเกรน ด้วยเครื่องมือลงทัณฑ์” ผ่านช่องทาง LINE ออฟฟิเชียลแอคเคาท์ของ “กรมราชทัณฑ์” เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 วีดีโอดังกล่าว ความยาว 2.09 นาที มีวิทยากรนำเสนออุปกรณ์ซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กรมราชทัณฑ์ เนื้อหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ไม้บีบขมับ” ซึ่งใช้ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีไว้เพื่อบีบขมับผู้ต้องขังเพื่อบังคับให้รับสารภาพ โดยวิทยากรยังบอกอีกว่าการใช้ไม้บีบขมับมีส่วนช่วยในการรักษาไมเกรนได้ และขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กรมราชทัณฑ์ จังหวัดนนทบุรี ในฐานะแหล่งเรียนรู้เรื่องของรากเหง้าการลงทัณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุดในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ยังมีวีดีโอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้โซ่ตรวนรูปแบบต่างๆ กับผู้ต้องขังในสมัยก่อน

การทรมานเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและมีข้อห้ามโดยเด็ดขาดในพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้สูญหายพ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว  อีกทั้งการห้ามทรมานเด็ดขาดเป็นไปตามพันธกรณีตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานที่ไทยเป็นรัฐภาคีและต้องปฏิบัติตามการใช้เครื่องมือทรมานในสมัยโบราณมาแสดงต่อสาธารณะในลักษณะเป็นเครื่องมือป้องกันไมเกรน นั้นถือเป็นการสื่อสารที่ส่อไปในลักษณะส่งเสริมให้มีการใช้อุปกรณ์ที่ใช่ในการทรมานที่ขัดกับมาตรฐานทางกฎหมายใหม่ที่มุ่งประสงค์ในการป้องกันและการห้ามโดยเด็ดขาด

การศึกษาเรียนรู้จากอดีตและประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นอีก แต่การนำเสนอโดยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กรมราชทัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าวยังขาดมิติด้านการเรียนรู้จากบาดแผลในอดีต การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุละเมิดซ้ำรอย การส่งเสริมความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงแนวทางการป้องกันอาชญากรรมและการแก้ไขฟื้นฟูกลับคืนสู่สังคมของผู้กระทำผิดซึ่งทดแทนการลงทัณฑ์เช่นในอดีต  “ไม้บีบขมับ” แม้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือลงทัณฑ์ในบริบทประวัติศาสตร์ไทย ถือว่าเป็นอุปกรณ์ทรมานอย่างหนึ่งซึ่งต้องห้ามใช้งานโดยเด็ดขาดและไม่ควรถูกนำเสนอในลักษณะที่เป็นการผลิตซ้ำหรือส่งเสริมวัฒนธรรมความรุนแรง

ในปัจจุบันที่สังคมไทยยังไม่สามารถขจัดการทรมานและยุติการลอยนวลพ้นผิดจากการกระทำดังกล่าวได้ การที่เจ้าหน้าที่นำชมพิพิธภัณฑ์ภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีหน้าที่เผยแพร่ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุซึ่งจัดแสดงใน “แหล่งเรียนรู้” ไม่ควรมุ่งเน้นการนำเสนอในลักษณะที่สร้างความบันเทิงเป็นสำคัญทั้งยังลดทอนความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ภายใต้อุปกรณ์ทรมานดังกล่าว

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำงานด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน เห็นว่าการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์กรมราชทัณฑ์ การออกแบบการจัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ และการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้กับผู้มาเยี่ยมชมมีคุณค่าอย่างยิ่งในด้านการเป็นแหล่งเรียนรู้ซึ่งจะมีส่วนในการช่วยพัฒนาสังคมไทยให้มีความเข้าใจเรื่องราวความรุนแรงในอดีต ร่วมกันป้องกันไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำรอยในอนาคต ส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ทบทวนการนำเสนอเรื่องราวในพิพิภัณฑ์ โดยเฉพาะส่วนงานวิชาการ ผลิตเนื้อหาออกมาเพื่อเล่าเรื่อง โดยจะต้องสื่อสารอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นไปตามแนวทางและวัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ที่วางเอาไว้

2. ตรวจสอบและประเมินศักยภาพการทำงาน ทัศนคติ ไปจนถึงความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับส่วนงานนำชมพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะทำหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์เพื่อสื่อสารถึงการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องมาตรฐานสากลและกฎหมายใหม่  หากพบว่าบุคคลกรที่เกี่ยวข้องขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมในฐานะผู้นำชมพิพิธภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน  ขาดมิติของผู้เสียหายที่ได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดจากอุปกรณ์ดังกล่าว ทางกรมราชทัณฑ์ควรพิจารณาทบทวนบทบาทของบุคคลการที่นำไปสู่การส่งเสริมประวัติศาสตร์การทรมานผู้ต้องขังซึ่งเป็นการห้ามโดยเด็ดขาดในปัจจุบัน

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

กรุงเทพมหานคร

27 พฤศจิกายน 2567

Author