พรุ่งนี้ (19 กรกฎาคม 2567) เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดนราธิวาสนัดไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อไต่สวนพยานต่ออีก 2 ปาก จากทั้งหมด 3 ปากตามที่ทนายความโจทก์ได้เสนอ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.578/2567 ผู้เสียหายและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ ฟ้องคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมหน้าสภ.ตากใบเมื่อปี2547 จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก และศาลได้นัดไต่สวนต่อเนื่องในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 เพื่อการดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น ในการสืบพยานส่วนอื่นๆ เพื่อเบิกความเพิ่มเติม และศาลจะกำหนดนัดฟังคำสั่งต่อไปว่าคดีมีมูลรับฟ้องหรือไม่ 

นัดดังกล่าวต่อเนื่องจาก นัดไต่สวนเมื่อวันที่ 24 และ 25 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ศาลได้ไต่สวนพยานปากแรกซึ่งเป็นทนายความที่ได้รับมอบหมายจากสภาทนายความให้ช่วยเหลือคดีชาวบ้านตากใบตั้งแต่ปี2548  และให้ความช่วยเหลือตลอดมา ก่อนที่ในวันที่ 25 มิถุนายน จะมีคำสั่งเลื่อนการสืบพยานอีกสองปาก ได้แก่ผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ เนื่องจากอธิบดีผู้พิพากษา ภาค 9 ทักท้วงว่า จำเลยที่ไม่ได้แต่งทนายความมาไม่ทราบวันนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 25 มิถุนายนที่เพิ่มมาจึงขอให้เลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องไป  โดยศาลอนุญาตให้ญาติและผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องคดี รวมถึงทนายความ แถลงคำคัดค้าน ข้อห่วงกังวล และความเดือดร้อนเสียหาย ต่อการเลื่อนนัดดังกล่าวบันทึกไว้ในสำนวน

เนื่องจากคดีอาญาเหตุการณ์ตากใบ นั้นใกล้กำหนดหมดอายุความหากครบ 20 ปี ในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 โดยตามกระบวนการกฎหมาย เนื่องจากเป็นคดีที่ชาวบ้านยื่นฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง จึงต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่  แตกต่างจากกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีอาญาซึ่งศาลจะประทับรับฟ้องทันทีเมื่อพนักงานอัยการนำสำนวนมาศาลพร้อมจำเลย การไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้  หากศาลมีคำสั่งว่าคดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยังมีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ หากศาลมีคำสั่งว่าคดีมีมูลศาลก็จะสั่งรับประทับฟ้อง แล้วกำหนดวันนัดสอบคำให้การจำเลยและออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลเพื่อสอบคำให้การ หากจำเลยไม่มาในวันนัดตามที่ศาลออกหมายเรียก จึงจะมีการออกหมายจับโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ทำหน้าที่จับกุมและติดตามนำตัวจำเลยมาศาลตามนัด ให้ทันก่อนวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ตามกำหนดอายุความ 20 ปี

ในส่วนสำนวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ชาวบ้านยื่นฟ้องคดีตากใบ  ตำรวจภูธรภาค 9 ได้ส่งสำนวนเสนอความเห็นสั่งไม่ฟ้องในสำนวนการสอบสวนกรณีการวิสามัญฆาตกรรม ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 กรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบ โดยมีความเห็นในหนังสือส่งถึงอัยการสูงสุดว่า “เป็นการกระทำตามสมควรแก่กรณีและเป็นเหตุสุดวิสัย” ปัจจุบันสำนวนยังคงอยู่ที่สำนักงานอัยการสูงสุดระหว่างการพิจารณาสั่งคดีว่าจะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งคดีนี้จะหมดอายุความในอีก 3 เดือน

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ตัวแทนครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ ได้รับหนังสือ อส.0031.3/348 จากสำนักงานคดีอัยการสูงสุด ระบุว่าอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วได้มีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรม ที่ผู้เสียหายได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีการดำเนินคดีอาญาในคดีการสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ ซึ่งได้ยื่นแก่อัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 สร้างความประหลาดใจในคำสั่งลักษณะนี้ทั้งกับโจทก์และทีมทนายความ

คดีนี้ โจทก์ทั้ง 48 คน ประกอบด้วย ลำดับที่ 1-34 เป็นผู้ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนทันทีที่หน้าโรงพักตากใบ 2 คน และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 คน รวม3 คน และที่เสียชีวิตจากการขนย้ายรวม 31 คน  ลำดับที่ 35-48 เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ  ได้ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 9 คน ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายปกครอง ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น จำเลยที่ 2 อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น จำเลยที่ 3 อดีตผู้บัญชาการพล. ร. 5 ในขณะนั้น จำเลยที่ 4 อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า จำเลยที่ 5 อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9  จำเลยที่ 6 อดีตผู้กำกับสภอ.ตากใบในขณะนั้น จำเลยที่ 7 อดีตรองผู้กำกับสภอ.ตากใบในเวลานั้น จำเลยที่ 8 รองผอ.สสส.จชต. หรือกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น และจำเลยที่ 9 ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะเกิดเหตุ ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ข้อหา ฆ่าผู้อื่น โดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย ตามมาตรา 288 และ289 (5) ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพฯ ตามมาตรา 309 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามมาตรา 310

อูเซ็ง ดอเลาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวถึงความพยายามในการฟ้องร้องคดีในครั้งนี้รวมถึงความล่าช้าในการดำเนินการของรัฐว่า  “เมื่อเกิดเหตุการณ์การเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ หรือมีการทำให้เสียชีวิตใดๆ ก็ตาม ความที่เป็นคดีอาญา มันเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะรับหน้าที่ตรงนี้ ในการที่จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เองกลับเพิกเฉย ปล่อยปละละเลย เข้าใจว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะผู้ที่ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เป็นข้าราชการระดับสูง” 

ขณะเดียวกัน แบมะ (นามสมมติ) หนึ่งในตัวแทนครอบครัวผู้เสียชีวิตได้กล่าวถึงความรู้สึกว่า “อีก 3 เดือน ก็จะครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์ตากใบ เราจึงรวมตัว พูดคุยกันว่าเราจะให้มันจบโดยไม่เดินเรื่องอะไรเลยเหรอ หรือเราจะลองสู้เพื่อความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับคนที่เสียชีวิตแล้ว” 

 “สิ่งที่ยังคาใจก็คือการเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ผมขอถามว่า คนที่เสียชีวิตมีไหมที่ไม่ขาดอากาศหายใจ จริงๆ แล้วการกระทำของเจ้าหน้าที่โดยตรง ที่ทำให้ 85 ศพ เสียชีวิตวันนั้น กี่เปอร์เซ็นต์ที่โดนยิง เพราะว่าพี่ชายของผม ถ้าไม่เอาศพกลับ ไม่รู้เลยว่ามีร่องรอยถูกยิง 2 ที่ แล้วก็คนในหมู่บ้านนั้น เสียชีวิต 4 คน ทุกคนคอหักหมดเลย โดนอะไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าศพที่เอากลับ ลูบอาบน้ำศพ ลูบแรงๆ ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าบวม จำหน้าก็ไม่ได้ แต่ว่าพี่ชายผมจำได้เพราะมีแหวนติดนิ้วอยู่” แบมะ (นามสมมติ) ผู้ซึ่งสูญเสียพี่ชายคนโตในเหตุการณ์ตากใบ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม และศูนย์นิติธรรมสมานฉันท์จังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาทนายความ ขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจร่วมติดตามการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากรณีเหตุการณ์ตากใบต่อไปอย่างใกล้ชิด ให้มั่นใจว่าจะมีการค้นหาความจริงและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อให้ผู้เสียหายและครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับความยุติธรรมและได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม กรณีตากใบส่งผลอย่างมากต่อปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้ที่ยืดเยื้อมาตลอดกว่า20 ปี และการฟ้องคดีอาญาในครั้งนี้จะมีความสำคัญยิ่งต่อทิศทางกระบวนการสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


Author