เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 มีการจัดเวทีเสวนาหัวข้อ “จับตานิรโทษกรรม ยุติธรรมที่ยังมาไม่ถึง” ภายในงาน “ความหวังหลังความเจ็บปวด : วังวนความรุนแรงทางการเมือง ผ่านเรื่องเล่าจากผู้ได้รับ

ผลกระทบ” 

โดยมีวิทยากรเข้าร่วมแลกเปลี่ยน ได้แก่…

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการiLaw

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้ถูกดำเนินคดีม.112

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและหนึ่งในกมธ.ศึกษากฎหมายนิรโทษกรรม

ผศ.ดร. เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ดำเนินรายการ: นัสรี พุ่มเกื้อ

วันนี้มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงได้รวบรวมความเห็นบางส่วนที่วิทยากรได้ร่วมแลกเปลี่ยนมานำเสนอ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการiLaw

“ปัจจุบันเป็นยุคสมัยที่มีคดีทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับว่าเป็นยุคที่รัฐมีการใช้กฎหมายดำเนินคดีต่อประชาชนที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยคดีส่วนใหญ่จะเกิดในปี 2563 และ 2564 และมีจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆเดือนก็จะมีคนเข้าคุกเพิ่มตามคำพิพากษา ความกังวลจากนี้ ด้วยตัวเลขที่สูงและเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยเกินไป ทำให้คนในสังคมตามไม่ทัน ส่งผลให้คดีหรือเหตุการณ์ทางการเมืองได้รับความสนใจน้อยลง”

“กระแสการตอบรับที่ดี และการผลักดันความคืบหน้าแคมเปญนิรโทษกรรมประชาชน 

“เมื่อพูดถึงกระแสความสนใจต่อแคมเปญรณรงค์เสนอร่างกฏหมายนิรโทษกรรมประชาชนที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเมื่อ 1-14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่จบ เพราะหลังจากยื่นเสนอร่างกฏหมายเข้าสู่สภาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการทำงานที่ต้องผลักดันกันต่อไป”

“สุดท้ายแล้ว กาลเวลาก็ยังคงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อีกไม่นานศาลรัฐธรรมนูญก็จะหมดวาระ เช่นเดียวกับ สว.ที่กำลังอยู่ระหว่างการเลือกชุดใหม่ ขณะเดียวกันการเลือกตั้งหน้าก็ยังมีความหวัง” 

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้ถูกดำเนินคดีม.112

“สำหรับคนที่โดนคดีทางการเมือง ภาระที่ต้องแบกรับคือ ภาระค่าเดินทางไปศาลเพื่อรายงานตัวตามที่อัยการนัด ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับเยอะมาก เพื่อไปปรากฏตัว และเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ที่ต้องการต่อสู้คดี ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริง และเรื่องเวลาที่เสียไป บางครั้งต้องรอ รออัยการว่าวันนี้จะมีคำสั่งอย่างไร ที่ไม่สามารถคาดการณ์กระบวนการนั้นได้เลย และช่วงหลังที่มีคดีทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ต่อหนึ่งคนก็อาจจะไม่ได้มีแค่หนึ่งคดี ต่อหนึ่งคนก็ต้องหาเวลามาแบบนี้ทุกเดือน ทุกสัปดาห์ เพื่อที่จะไปศาลต่อสู้คดี เวลาในการทำงานก็หายไป ขณะเดียวกันสิ่งสำคัญของคนรุ่นใหม่ในการต่อสู้ดิ้นรนตั้งหลักชีวิตในประเทศนี้ นั้นคือ เวลา และงบประมาณ พอถูกแบ่งเวลาจากตรงนี้ ก็ต้องเสียรายได้จากการทำงาน มันเป็นปัญหาซ้ำซ้อน และเป็นปัญหาหลักสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ตอนนี้ต้องเจอเหมือนๆกัน”

“เป็นผลกระทบที่ฝังลึก รวมถึงผลกระทบเรื่องสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากเดิม และยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวในการถูกตีตราตั้งคำถามจากคนในสังคม สภาพจิตใจ ผลกระทบที่เราไม่คาดคิด จากการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง กลับถูกตีตราว่าเป็นภัยความมั่นคง ถูกตีตราว่าเป็นความวุ่นวายในสังคม ถูกตีตราจากรัฐว่าเป็นผู้กระทำผิดจากคดี ม.112 ทำให้คนในสังคมเกิดอคติและรังเกียจไปโดยปริยาย ทั้งที่เขาอาจจะยังไม่เข้าใจข้อมูลครบถ้วนด้วยซ้ำ ทั้งหมดเป็นผลกระทบพ่วงที่คนรอบข้างต้องมาเจอ เป็นสิ่งที่ยากลำบากเหมือนกัน”

ผลักดันนิรโทษกรรมประชาชนโดยประชาชน

“มีคนอีกมากมายที่อยากให้การนิรโทษกรรมประชาชนเกิดขึ้น รวมถึงการมีส่วนร่วมในการลงชื่อร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนโดยประชาชนเอง ทุกคนมีความตั้งใจแน่วแน่ ที่อยากให้การนิรโทษกรรมนี้ถูกผลักดันเข้าในสภา หากฉบับนี้เข้าไปในสภาเรียบร้อยแล้วก็หวังว่า นักการเมืองทั้งหลายจะยึดหลักบนฐานของการนิรโทษกรรมนี้ที่ต้องรวมถึงม. 112 ซึ่งร่างพ.ร.บ. ส่งถึงสภาเรียบร้อยแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนบนเว็บไซต์ของสภา จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้การนิรโทษกรรมประชาชนที่มีความชอบธรรมโดยไม่ทิ้งประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง”

ผศ.ดร. เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“แนวโน้มคดีที่เห็นได้ชัด แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แนวโน้มคดียังไม่ได้มีการชะลอยับยั้ง ยังมีคดีใหม่เพิ่มเข้ามา นอกจากนี้พบว่ามีการประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีเรื่องของการตีความด้วย เช่น โน้ตอุดม และกรณีละครคุณธรรมที่มีฉากตอนที่ตัวละครทับธนบัตรซึ่งมีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาล 10 ซึ่งนอกจากแสดงให้เห็นว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่เต็มใจในการนำกฎหมายมาใช้กับฝั่งตรงข้าม โดยหลักการที่มีความบิดเบี้ยวหรือเปลี่ยนแปลง ที่ถึงแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เรื่องของการดำเนินคดีก็ไม่ได้มีท่าทีดีขึ้น นำไปสู่การมีกระบวนการขับเคลื่อนสู่แคมเปญนิรโทษกรรมประชาชน”

“ร่าง พ.ร.บ นิรโทษกรรมประชาชนที่ประชาชนเสนอโดยภาคประชาชนจะถูกพิจารณาอย่างรวดเร็วขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของตนเอง เพราะตามกระบวนการขั้นตอนนิติบัญญัติกฎหมายแล้ว พ.ร.บ ที่ร่างโดยรัฐบาลจะถูกลัดคิวพิจารณาก่อน พ.ร.บ ที่ร่างโดยพรรคอื่น หรือฉบับที่ประชาชนที่ต่อคิวอยู่ท้ายๆ”

“หวังว่านิรโทษกรรม มาตรา112 จะส่งผลบวกต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล และผู้มีอำนาจมีความใจกว้าง พร้อมให้อภัยและเจรจาพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ แต่ทว่าผู้มีอำนาจห้ามพูดถึง ห้ามแตะ มาตรา112 ก็จะยิ่งชี้เป้าให้สังคมพูดถึง มาตรา 112 ว่าเป็นปัญหามากขึ้นกว่าเดิม และท้ายที่สุดความพยายามปกป้องจะกลายเป็นทำลายสถาบัน”

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและหนึ่งในกมธ.ศึกษากฎหมายนิรโทษกรรม

“ความคืบหน้าล่าสุดในการทำงานของอนุกรรมาธิการฯ ยังคงวนเวียนอยู่กับการสืบค้นข้อมูลตัวเลขสถิติคดีจากที่ต่างๆ เช่น ข้อมูลสถิติจากศาลยุติธรรม ศาล อัยการ ตำรวจ ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อจะหาเหตุผลมาอ้างว่าคดี 112 มีเพียง 300 คดี จึงควรไปเร่งนิรโทษกรรมคดีอื่นๆ ที่จะมีคนได้รับประโยชน์มากกว่า นอกจากนั้นยังพยายามเบี่ยงเบน มาตรา 112 ว่าเป็นคดีที่มีความ อ่อนไหว ในส่วนตรงนี้เราก็พยายามที่จะผลักดันและเสนอต่ออนุกรรมาธิการว่า ต้องกล้าที่จะหยิบยกพูดถึงเรื่อง มาตรา 112 เพราะต่อให้หลบ หรือเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องนี้ สุดท้ายก็จะมีคำถามจากประชาชน และสื่อมวลชนอยู่ดี จนกว่าจะได้ข้อสรุป”

“ท่ามกลางอุปสรรคที่พบเจออยู่ สิ่งที่ประชาชนทำได้คือ การช่วยกันพูดถึงหรือแสดงความเห็น เห็นด้วย กับการร่างกฏหมายนิรโทษกรรมประชาชน ที่มีประชาชนเป็นผู้เสนอ ซึ่งรวมความผิดทางประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ด้วย เพื่อช่วยกันผลักดันให้การนิรโทษกรรมประชาชนคดีทางการเมืองรวมทั้งมาตรา 112 ตั้งแต่ปี 2549-2567 โดยคำนึงถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างไม่อคติ”

Author