วันนี้มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงได้รวบรวมเนื้อหาส่วนหนึ่งจากปฐกถามานำเสนอ
“จุดมุ่งหมายของการสถาปนาความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านมีหลักๆ สามข้อ หนึ่งการแก้ไขและเยียวยาการกระทำผิดของรัฐที่เกิดขึ้นในอดีต สองป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำเช่นนั้นขึ้นอีก สามฟื้นฟูหลักนิติรัฐในสังคมประชาธิปไตยและสันติภาพ”
“ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (TJ) ไม่ใช่การที่เราหมกมุ่นกับอดีต มักจะมีการกล่าวหาว่าคนที่ทำงานด้านนี้ คนที่มาสนใจผลักดันเรื่องเหล่านี้ หรือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิ สังคมเปลี่ยนผ่านไปแล้วทำไมไม่ยอมก้าวข้ามความขัดแย้งในอดีต ทำไมไม่ๆลืมๆไป หันมารักสามัคคีกันเพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้ แต่ถ้าเรามองจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริง สังคมไม่มีทางเดินหน้าได้อย่างมีสันติภาพอย่างยั่งยืน ถ้าเราไม่หันไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ถ้าเราไม่กลับไปแก้ไขเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างกว้างขวาง หรือการใช้ความรุนแรงในสังคมขึ้น ก็มีโอกาสที่เงื่อนไขเหล่านั้นจะกลับมาซ้ำรอยเดิม และประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านคือการให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคต จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในปัจจุบัน และจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างไร จะสร้างสังคมในอนาคตที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขอย่างไร จึงไม่ใช่การหมกมุ่นต่ออดีต แต่เราสนใจอดีตเพื่อแก้ไขความผิดพลาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำที่เลวร้ายขึ้นอีก”

“ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ ความยุติธรรม ในความหมายปกติที่สังคมมักจะเข้าใจในความหมายแคบๆ ในแง่กรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะในกรอบของกฎหมายอาญา กระบวนการทางอาญา เท่านั้น ถ้าเราเข้าใจความยุติธรรมในความหมายแคบแค่นี้ จะไม่มีวันที่เราจะสถาปนาความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านได้เลย โลกสากลในการผลักดันเรื่องความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เขาพูดถึงความยุติธรรมในความหมายกว้าง คือ ความยุติธรรมที่มีทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม”
“ปัจจุบันสังคมไทยตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนน้อยมาก ทำอย่างไรที่จะทำให้วัฒนธรรมไทยเปลี่ยนจากวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม แบบเหลื่อมล้ำต่ำสูง คนมีลำดับขั้นที่ไม่เท่าเทียมกัน ไปสู่วัฒนธรรมที่มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคมากขึ้น”
“ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่เรื่องของศาลและนักกฎหมาย ภารกิจในการสร้างความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เป็นภารกิจของคนทั้งสังคมร่วมกันรวมถึงตัวรัฐเองด้วย หากเมื่อใดเราตีกรอบให้ความยุติธรรมในะระยะเปลี่ยนผ่านไปเท่ากับภารกิจของนักกฎหมายและศาล ผู้พิพากษาเท่านั้น เท่ากับเราทำให้ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านหมดความหมายไป เพราะเป็นความหมายที่แคบ”
“ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน มีกลไกที่เป็นรูปธรรมอย่างน้อย 5 ประการ คือ 1. การดำเนินคดี นำตัวผู้กระทำผิด หรือผู้ที่มีอำนาจที่รับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงต่อพลเมืองหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง มาลงโทษมารับผิดให้ได้ กลไกที่เป็นรูปธรรมคือการพิจารณาคดีในศาล 2. การแสวงหาความจริง รูปแบบที่มักเกิดขึ้นคือการตั้งคณะกรรมการแสวงหาความจริง (Truth Comission) 3. การชดเชยเยียวยาให้กับเหยื่อ… 4. กลไกที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคง… 5. กลไกการนิรโทษกรรม…”

“การที่สามารถนำอดีตหัวหน้ารัฐบาล หัวหน้ากองทัพ หรือผู้มีอำนาจที่เคยออกคำสั่ง หรือตัดสินใจในการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนให้มาขึ้นศาลและรับผิดผ่านทางกระบวนการทางกฎหมายได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงสัญลักษณ์และในทางการเมือง คือการวางบรรทัดฐานว่าสังคมนี้ไม่เพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และสังคมนี้ต้องการวางบรรทัดฐานว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำที่เมื่อทำผิดแล้วต้องรับโทษ ไม่มีนายพลคนไหนหรือผู้มีอำนาจไม่ว่าจะสูงส่งขนาดไหนสามารถลอยนวลพ้นผิดไปได้ เมื่อทำให้พลเรือนหรือประชาชนของตนเองต้องเสียชีวิตจากนโยบายที่ไม่เป็นธรรมของตน”
.
“ภารกิจหลักของคณะกรรมการค้นหาความจริง คือการสถาปนาความจริง ในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นในข้อเท็จจริง ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร นอกจากการสถาปนาข้อเท็จจริงที่เป็รข้อเท็จจริงพื้นฐานแล้ว ต้องวิเคราะห์ถึงสาเหตุรากเหง้าด้วยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่นำมาสู่จุดไหน”
“ การแสดงออกซึ่งการยอมรับผิดของรัฐเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การยอมรับผิดของรัฐไม่ได้หมายความว่าเป็นการยอมรับผิดของผู้นำรัฐที่เคยกระทำผิดเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการยอมรับผิดของผู้นำรัฐในยุคถัดๆไป ซึ่งตนเองอาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเหล่านั้น คนที่ทำความผิดตายไปแล้ว แต่ผู้นำรัฐในปัจจุบันซึ่งเขาอาจไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำเหล่านั้น แต่เขาเป็นตัวแทนของรัฐ เขาออกมายอมรับผิดในฐานะตัวแทนของรัฐ เป็นการกระทำที่สำคัญมากและมีความหมาย”
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้ง ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐเองมีส่วนในการขยายความขัดแย้ง มากกว่าที่จะลดความขัดแย้ง มุมมองหรือวิธีคิดที่ยังมองประชาชนที่มาชุมนุมและประท้วงว่าเป็นศัตรูของรัฐก็ยังดำรงอยู่ และนำไปสู่ปัญหาอย่างยิ่งในการคลี่คลายความขัดแย้ง”
“การนิรโทษกรรมสำคัญยิ่งในบริบทของไทยในปัจจุบัน การนิรโทษกรรมวางอยู่บนหลักคิดสองอย่าง หนึ่งคลี่คลายความขัดแย้ง เราผลักดันกลไกนี้เพราะมันอาจจะช่วยในการแก้ไขความขัดแย้งในสังคม ให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข สองคือการคืนความเป็นธรรมให้กับคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในอดีต นิรโทษกรรมเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ออกมาต่อสู้ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และเขาอาจโดนดำเนินคดี โดนตั้งข้อหาที่ร้ายแรงเกินกว่าเหตุจนทำให้เขาเสียอิสรภาพ ต้องไม่ลืมว่าเมื่อเป็นสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนักและสังคมที่หลักนิติรัฐอ่อนแอ ในห้วงยามของความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง กฎหมายอาจไม่ได้เท่ากับความยุติธรรมเสมอไป กฎหมายภายใต้รัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปาก ข่มขู่ ริดลอนสิทธิของประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นจึงมีความสำคัญที่เราต้องพิจารณาคืนความเป็นธรรมให้กับคนที่อาจจะถูกกระบวนการยุติธรรมเล่นงานอย่างไม่เป็นธรรม นิรโทษกรรมจึงเป็นกลไกที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้”

![[PR]อัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม กรณียุติการสืบสวนเหตุชัชชาญ บุปผาวัลย์ ถูกอุ้มหาย – ฆาตกรรม](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/24-12-68-1-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลกัมพูชาสั่งยุติการสอบสวนกรณีการบังคับสูญหาย “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/23-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ลงโทษจำคุก 1 ปี ครูฝึก 2 นาย กรณีพลทหารกิตติธร เสียชีวิตหลังเข้ารับการฝึกเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/18-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 5 นัดฟังคำพิพากษา กรณีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตหลังฝึกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2566](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/17-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)
![[PR]คืบหน้า! รมต. ยุติธรรมรับทราบกรณีส่งกลับ “อี ควิน เบดั๊บ” มอบหมายกรมคุ้มครองสิทธิฯ ดำเนินการต่อ](https://i0.wp.com/crcfthailand.org/wp-content/uploads/2025/12/15-12-68-1.png?resize=218%2C150&ssl=1)