เมื่อวันที่ 27-28 เมษายน 2567 ณ โรงแรมไอบิส สไตล์ รัชดา คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนา “มาตรฐานระหว่างประเทศและบทเรียนจากภูมิภาคยุโรปและอเมริกาในการดำเนินคดีการกระทำให้บุคคลสูญหาย”

.

ในงานสัมมนาครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมกว่า 30 คน ซึ่งเป็นทนายความ นักวิชาการ และตัวแทนจากภาคประชาสังคม ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อท้าทายและอุปสรรคในการดำเนินคดีภายใต้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำให้บุคคลสูญหาย  รวมถึงแลกเปลี่ยนแนวคำพิพากษาและความเห็นระดับสากลจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในทวีปยุโรปและอเมริกา

.

ระหว่างการแลกเปลี่ยนข้อท้าทายในการดำเนินคดีการกระทำให้บุคคลสูญหาย ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนอุปสรรคในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็น ปัญหาในการเข้าถึงพยานหลักฐานโดยเฉพาะกรณีข้ามพรมแดน  การดำเนินคดีภายใต้พ.ร.บ.ดังกล่าวในบริบทของกลุ่มคนที่เปราะบาง ภาระการพิสูจน์เรื่องการหายตัวไปหรือการปล่อยตัว รวมถึงภาระการพิสูจน์ในชั้นรับเรื่องร้องเรียนหรือชั้นศาล ความสำคัญของพยานหลักฐานแวดล้อมและพยานหลักฐานบ่งชี้ต่างๆในอาชญากรรมลักษณะนี้ ข้อท้าทายด้านพยานหลักฐานนิติวิทยาศาตร์ เช่น พยานหลักฐานด้านชีวิวิทยา และพยานหลักฐานจาก DNA

.

หลังจากการแลกเปลี่ยนข้อท้าทาย สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) นำเสนอมาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยพูดถึงมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างรายงานคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ (WGEID) เรื่องการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพในกรณีการบังคับให้สูญหาย รวมไปถึงพิธีสารมินนิโซตาว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการเสียชีวิตที่มิชอบด้วยกฎหมาย 

.

Juan Pablo Albán Alencastro ศาสตราจารย์ ณ มหาวิทยาลัย San Francisco de Quito และคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยบังคับหรือไม่สมัครใจ (CED) แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคำพิพากษาของคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำให้บุคคลสูญหายในบริบทของทวีปอเมริกา หนึ่งในประเด็นสำคัญที่มีการพูดถึงคือในประเด็นภาระการพิสูจน์ ในกรณีของทวีปอเมริกาใต้นั้นมีความเห็นว่าภาระการพิสูจน์ต้องยืดหยุ่น และเมื่อมีผู้ร้องพิสูจน์ว่ามีรูปแบบของการอุ้มหายอย่างเป็นระบบเกิดขึ้นซึ่งเชื่อมโยงไปกับการบังคับให้บุคคลหนึ่งสูญหาย  รัฐจะต้องเป็นผู้พิสูจน์ และถ้าพิสูจน์ไม่ได้ถือว่าเป็นคุณแก่ฝั่งผู้ร้อง นอกจากนี้แนวคำพิพากษาในคดีอุ้มหายในศาลสิทธิมนุษยชนทวีปอเมริกาหลายคดี พยานแวดล้อมถือว่าเพียงพอที่จะตั้งสมมติฐานทางกฎหมายว่ามีการบังคับสูญหายเกิดขึ้นจริงกับเหยื่อได้

.

ในขณะที่ในฝั่งยุโรปการดำเนินคดีการกระทำให้บุคคลสูญหายเผชิญกับความท้าทายในหลายประการ Gabriella Citroni ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส องค์กร TRIAL International ศาสตราจารย์ ณ มหาวิทยาลัย Milano-Bicocca และรองประธานคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ (WGEID) ผู้เชี่ยวชาญจากฝั่งยุโรปได้นำเสนอและยกตัวอย่างในหลายประเด็น อาทิ ข้อท้าทายในการการคำนึงถึงลักษณะความผิด โดยเฉพาะในประเด็นการตีความการเริ่มต้นและสิ้นสุดของการบังคับบุคคลให้สูญหาย การตีความองค์ประกอบความผิด ประเภทของผู้กระทำความผิดที่ถูกดำเนินคดี รวมถึงการตีความระยะเวลาความยืดเยื้อของของการกระทำให้บุคคลหนึ่งสูญหาย

คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล และมูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอขอบคุณผู้เข้าร่วมทุกท่านที่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ไปด้วยกัน โดยหวังว่างานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวในการผลักดันให้พ.ร.บ. ซ้อมทรมาน-อุ้มหาย มีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เหยื่อและผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรม ยุติวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ และป้องกันไม่ให้เกิดกรณีการซ้อมทรมาน การกระทำที่โหดร้ายฯ  และการบังคับให้บุคคลสูญหายกับใครได้อีกต่อไป

Author