เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 10.00 น. ทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ในฐานะทนายความของนางสาวหน่อจอ มีมิ  หลานสาวปู่คออี้ มีมิ ซึ่งปู่ฯเป็นผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อเข้าปรึกษาหารือแนวทางคดีกับพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดี ในกรณีที่หน่อจอ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ โดยมีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน พนักงานอัยการแจ้งว่ายังมีประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีก จึงยังไม่อาจมีคำสั่งได้ว่าจะฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่  ดังนั้นพนักงานอัยการจึงได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งอัยการจากเดิมวันที่ 21 มีนาคม 2567  ไปเป็น 21 มิถุนายน 2567

ก่อนหน้านี้ หน่อจอ ได้รับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนแล้ว ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยทางมูลนิธิฯ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ได้มีการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีไปแล้วเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 โดยการขอความเป็นธรรมนั้นได้ชี้ให้พนักงานอัยการเห็นข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวหาของนายชัยวัฒน์ฯ ขัดต่อความจริง เพราะหน่อจอได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามความจริงที่ตนรู้เห็นในเหตุการณ์ที่บ้านปู่โคอี้ถูกเผา ซึ่งต่อมาปู่คออี้ฯและชาวบ้านรวม 6 คนได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง และคดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายชัยวัฒน์ฯกับพวกในฐานะเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติที่เผาบ้านเรือน ทำลายทรัพย์สิน ของปู่คออี้ฯและชาวบ้านผู้ฟ้องคดีนั้น เป็นการกระทำละเมิด ทำให้ปู่คออี้ฯและชาวบ้านที่ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ศาลจึงได้มีคำพิพากษาให้กรมอุทยานแห่งชาติฯหน่วยงานต้นสังกัดของนายชัยวัฒน์ฯชดใช้ค่าเสียหายแก่ปู่คออี้ฯและชาวบ้านผู้ฟ้องคดี ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำ อส.77/2559 คดีหมายเลขแดงที่ อส.4/2561  คำให้การของหน่อจอนั้นจึงเป็นไปโดยสุจริต ตามความจริง และเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐ อีกทั้งการดำเนินคดีนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนตาม พ.ร.บ. องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553   มาตรา 21 ขอให้พนักงานอัยการพิจารณมีคำสั่งไม่ฟ้อง

คดีนี้สืบเนื่องจาก นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนสภ.แก่งกระจานว่า นางสาวหน่อจอ มีมิ  ไปเป็นพยานในคดีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดที่มีโทษทางอาญา โดยหน่อจอเป็นพยานที่ให้การว่าตนเห็นเหตุการณ์ที่ชัยวัฒน์ฯกับพวกเผาบ้านปู่คออี้และบ้านชาวบ้านกะเหรี่ยงบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ในยุทธการตะนาวศรี ขณะที่ชัยวัฒน์ปฏิเสธว่าตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยคดีดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาสั่งคดีของสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี  เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท ) ได้มีมติชี้มูลว่านายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร มีความผิดจริงให้ออกจากราชการและดำเนินคดีอาญา ต่อมานายชัยวัฒน์ฯได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพชรบุรี และศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการไว้ก่อนในขณะที่คดีความผิดทางวินัยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองดังกล่าว ส่วนการดำเนินคดีอาญานั้น ป.ป.ท. ได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการ แม้เหตุการณ์กระทำผิดได้ล่วงเลยมานานกว่า 12 ปีแล้ว  พนักงานอัยการสำนักปราบปรามคดีทุจริตภาค 7 ก็ยังไม่มีคำสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก แต่อย่างใด

กรณีการเผาบ้านปู่คออี้และของชาวกระเหรี่ยงบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดินหลายสิบครัวเรือนนั้น คดีดังกล่าวมีพยานหลักฐานและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่เชื่อได้ว่า เมื่อวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554  เจ้าหน้าที่และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและพวก ได้ใช้กำลังพร้อมอาวุธ เข้ารื้อถอนทำลายเผาบ้านเรือน ยุ้งฉาง ประมาณ 100 หลังคาเรือน ทรัพย์สินอื่นๆ เป็นของนายคออี้ มีมิ และของชาวบ้าน ซี่งเป็นชาวไทยพื้นเมืองดั้งเดิมเชื้อสายกะเหรี่ยง เหตุเกิดที่บ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดินในพื้นที่อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี  ปัจจุบันชาวบ้านผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 รายได้รับเงินค่าชดใช้ความเสียหายตามคำพิพากษาศาลปกครองไปแล้ว

            มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจร่วมติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามต่อไปว่าพนักงานอัยการจะสั่งฟ้องคดีนี้หรือไม่ คดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งที่มีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

Author