นสต.ปกรณ์ เนียนรัตน์ นักเรียนนายสิบตำรวจเสียชีวิต หลังครูฝึกสั่งให้วิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตร แต่วิ่งไปได้เพียง 6 กิโลเมตร ก่อนเป็นลมหมดสติ มีอาการฮีทสโตรก แต่ยังถูกครูฝึกสั่งให้หิ้วปีกวิ่งให้ครบ 10 กิโลเมตร จนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566[1]
พลทหารวรรญวุฒิ ลำพะพา ทหารกองประจำการผลัดที่ 1/2566 ซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกทหารใหม่ ณ หน่วยฝึกทหารใหม่ใน จ.สระบุรี เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2566 เวลา 21.00 น. ระหว่างที่ทหารใหม่รับการอบรมและทำท่ากายบริหารเป็นส่วนรวม[2]
พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตจากการฝึกและถูกลงโทษ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 ที่ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยพบว่า พลทหารกิตติธรมีอาการอิดโรย ตัวซีด ไข้ขึ้น มีอาการร้อนและหนาวสลับกัน ประกอบกับมีบาดแผลที่บริเวณหัวเข่าซึ่งเกิดจากการฝึกและมีอาการป่วยมาหลายวัน โดยแพทย์ที่รักษาระบุว่า เสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด[3]
ทั้งสามเหตุการณ์เป็นตัวอย่างกรณีนักเรียนนายสิบและพลทหารใหม่ที่ถูกให้ฝึกจนเสียชีวิต ซึ่งลักษณะการสูญเสียเช่นนี้ แตกต่างกับการเสียชีวิตจากการซ้อมทรมานหรือการรุมทำร้ายร่างกายที่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันชัดแจ้ง ขณะที่ฝ่ายทหารระดับชั้นผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับการฝึก มักมองว่า การฝึกฝนออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้เป็นนายทหาร เพื่อฝึกความอดทนและทำให้ร่างกายแข็งแรง การเสียชีวิตของผู้ถูกฝึกเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้บังคับบัญชา แต่เป็นปัจจัยความอ่อนแอด้านสุขภาพของผู้ถูกฝึกเอง
ถึงอย่างไรก็ดี กรณีการฝึกจนเป็นเหตุผู้ถูกฝึกเสียชีวิตเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา กับกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งยังจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจและการตระหนักรู้ถึงขอบเขตในกระบวนการการฝึกของพลทหารและนักเรียนตามกรอบกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียดังกล่าวได้อีก
ชีวิตอันเปลือยเปล่าของพลทหารและเหล่านักเรียนในศูนย์ฝึก
ที่ผ่านมา ในทุก ๆ ปี สังคมไทยต้องกับกับข่าวความสูญเสียของชายหนุ่มที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในกระบวนการฝึกทหารใหม่ นักเรียนนายสิบ และนักเรียนนายร้อย โดยมีต้นเหตุมาจากทั้งการซ้อมทรมาน การลงโทษทางวินัยที่รุนแรง และการฝึกอย่างหนักจนเกินขีดความสามารถของร่างกายมนุษย์ จากสภาวะดังกล่าว ค่ายทหารหรือศูนย์ฝึกที่เหล่านายทหารใหม่และนักเรียนที่แบกความหวังของครอบครัวเข้าไปเรียนรู้ ฝึกความอดทน หรือไปปฏิบัติภารกิจ “รับใช้ชาติ” ตามมายาคติที่พร่ำสอนกันมาในสังคม ด้านหนึ่งจึงอาจเปรียบเสมือนกับดินแดนสนธยาที่บทกฎหมายหรือแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญที่คอยปกป้องสิทธิเสรีภาพในชีวิตร่างกายปัจเจกบุคคล พวกเขาบางคนต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย และไม่เคยมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดอีกเลย
สถานการณ์เช่นนั้น สะท้อนถึงสภาวะชีวิตอันเปลือยเปล่า (bare life) ของกลุ่มนักเรียนและพลทหารในค่าย ชีวิตอันเปลือยเปล่า หมายถึง สิ่งที่ จิออร์จิโอ อกัมเบน (Giorgio Agamben) นักปรัชญาการเมืองชาวอิตาลี อธิบายถึง สภาวะของมนุษย์ที่ถูกทะลุทะลวงจากการตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองที่เหนือกว่า มนุษย์ในชีวิตเปลือยเปล่าจะไม่ถูกเคารพในฐานะมนุษย์ ชีวิตมนุษย์จะถูกบิดเบือนเป็นอย่างอื่น เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ผู้มีอำนาจสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เด็ดขาด และถูกปฏิบัติเสมือนหนึ่งไม่ใช่คนด้วยความรุนแรง จากการไร้สิ่งปกป้องคุ้มครอง เช่นเดียวกันพลทหารใหม่และนักเรียนนายสิบนายร้อยบางคน ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ถูกสั่งลงโทษ ถูกบังคับให้ฝึกหนักจนร่างกายรับไม่ไหว และเสียชีวิตลง ถ้าเหยื่อเหล่านั้น ถูกมองว่ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ก็ย่อมไม่ถูกกระทำเช่นนี้[4]
ในสภาวะชีวิตอันเปลือยเปล่า บทบัญญัติกฎหมายที่คอยทำหน้าที่เป็นสิ่งคุ้มครองห่อหุ้มให้ความเป็นมนุษย์ได้รับการประกันไว้ว่าจะไม่มีใครหรือผู้มีอำนาจคนใดเข้ามาล่วงละเมิดได้ ก็จะถูกยกเว้นบังคับใช้ กลายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกที่ถ้อยคำต่าง ๆ ไร้ความหมายลงทันที
นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบความสัมพันธ์ทางอำนาจภายในองค์กร วัฒนธรรมของกองทัพ การให้คุณค่ากับระบบศักดินา และการด้อยค่าทหารชั้นผู้น้อยหรือนักเรียนใหม่ ยังมีส่วนให้ความรุนแรงและการปฏิบัติต่อกันโดยไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องปกติธรรมดา มีความชอบธรรม สร้างสภาวะยกเว้นที่มีบ่อเกิดจากมิติทางวัฒนธรรม โดยส่งให้กฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ปฏิบัติตาม ๆ กันมานาน เข้าแทนที่บทบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษร และมีศักดิ์เหนือกว่า เปลี่ยนตัวบททางกฎหมายให้อยู่ในสภาวะลักลั่นตลอดเวลา[5] สภาวะเช่นนี้ การกล่าวอ้างถึงกฎหมายต่อหน้าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาในกองทัพ หรือรุ่นพี่ในโรงเรียนมาหักล้างกับวัฒนธรรมดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
สภาวะชีวิตอันเปลือยเปล่าภายใต้วัฒนธรรมกองทัพข้างต้น ได้สังเวยชีวิตของเหล่าทหารใหม่และนักเรียนนายสิบนายร้อยหลายต่อหลายคน เช่น พลทหารวิเชียร เผือกสม เหยื่อที่ถูกผู้บังคับบัญชาและทหารรุ่นพี่รุมซ้อมทรมานจนเสียชีวิตเมื่อปี 2554 โดยฝ่ายผู้กระทำอ้างว่า เป็นการธำรงวินัยเนื่องจากพลทหารวิเชียร หนีการฝึก[6] หรือ กรณี ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อปี 2560 สืบเนื่องจากการธำรงวินัยของนักเรียนรุ่นพี่เช่นเดียวกัน[7] เหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้ล้วนถูกบ่มเพาะจากวัฒนธรรมที่สืบสานกันมาภายในโรงเรียนและกองทัพ เหมือนกับที่ พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว กรณี น้องเมย เสียชีวิตว่า “ผมก็เคยโดนซ่อม จนเกินกำลังจะรับได้ สลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย … ถ้าไม่อยากโดนซ่อม ก็ไม่ต้องเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ การเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารต้องเตรียมใจเรื่องการธำรงวินัย”[8]
ที่ผ่านมา ฝ่ายภาคประชาชนสังคม รวมถึงมูลนิธิผสานวัฒนธรรม[9] จึงได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดกฎหมายป้องการซ้อมทรมานและอุ้มหาย เพื่อเป็นเครื่องมือคัดง้างกับวัฒนธรรมที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของเหยื่อการซ้อมทรมานและถูกบังคับให้สูญหายจากการเป็นปฏิปักษ์กับผู้มีอำนาจ ตลอดจนฟื้นฟูชีวิตที่เปลือยเปล่าให้แก่ พลทหารและนักเรียนนายสิบนายร้อย ให้กลับมาเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี และมีหลักประกันสิทธิว่าจะไม่ถูกใครช่วงชิงเอาความเป็นมนุษย์ไปจากพวกเขาได้
กฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานฯ สิ่งห่อหุ้มชีวิตอันเปลือยเปล่า
ประเทศไทย เป็นประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและลงนามในอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ จนต่อมา มีการตรากฎหมายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดกฎหมายดังกล่าว ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 และมีผลใช้บังคับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ การออกแบบและเสนอร่างกฎหมายข้างต้น มีแนวทางมาจากอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ
ความสำคัญของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 คือ การเป็นบทกฎหมายที่กำหนดความผิดอาญาให้กับ ผู้มีอำนาจบังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำทรมานและกระทำให้บุคคลเสียหาย ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และได้กำหนดความผิดเฉพาะและการกำหนดโทษที่รุนแรงให้เหมาะสมกับการกระทำความผิด (โทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท หากผู้ถูกกระทำเสียชีวิตรับโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต) นอกเหนือไปจากกระทำความผิดของบุคคลทั่วไปที่ต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยการทรมานตามมาตรา 296 หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา 310 ในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว
นอกจากนี้ การกำหนดความผิดแยกออกมาจากกรณีบุคคลทั่วไป ยังอยู่บนเรื่องการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการด้วยกัน ที่อาจช่วยเหลือกันและกัน จนทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกบิดเบือน รวมถึงป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐฉวยโอกาสกระทำการอันโหดร้ายไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ทุกหน่วยงานต้องบันทึกวิดีโอการจับและควบคุมตัวบุคคลตลอดเวลา จนกว่าจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน และต้องทำบันทึกการจับกุมและควบคุมตัวโดยละเอียด เพื่อให้ตรวจสอบได้ เป็นต้น[10]
อีกทั้ง ยังมีการขยายขอบเขตไปถึงผู้บังคับบัญชาที่รู้ว่า ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการทรมานหรืออุ้มหายผู้อื่น แต่เพิกเฉย ไม่ป้องกันหรือระงับการกระทำความผิดจะต้องรับผิดร่วมด้วย[11] ตามมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติฯ ซึ่งบทบัญญัตินี้ จะเป็นการเพิ่มหน้าที่ความรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาในการสอดส่องดูแลการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาไปด้วย
ในบริบทภายใต้ระบบเกณฑ์ทหารและหลักสูตรการเรียนของนายสิบนายร้อย กฎหมายดังกล่าวเปรียบเหมือนกับเกราะป้องกันห่อหุ้มชีวิตที่เคยเปลือยเปล่าของเหล่าพลทหารและนักเรียนในศูนย์ฝึก ซึ่งหากมีการกระทำใดก็ตาม ที่เข้าข่ายเป็นการ “กระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ย่อมมีความผิดตามกฎหมายนี้ กล่าวคือ การกระบวนการฝึกจะต้องไม่ใช่เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือละเมิดสิทธิขึ้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทำให้อีกฝ่ายไร้ศักดิ์ศรี หรือทำให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจ[12]
ด้วยเหตุดังกล่าว เหล่าการฝึก การสั่งลงโทษ การธำรงวินัย หรือการซ่อม ที่กล่าวอ้างกันว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติการมานานในระบบ ที่ไม่ใช่การกระทำเยี่ยงมนุษย์ควรกระทำต่อกันจะกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด แม้จะเป็นการฝึกความอดทน หรือการลงโทษโดยท่ากายบริหารก็ต้องไม่เกินไปกว่าขีดความสามารถของมนุษย์ หรือการเสริมสร้างความแข็งแรงควรต้องอยู่บนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลัก การบังคับให้วิ่ง 10 กิโลเมตร ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยอยู่ หรือการสั่งให้สก็อตจั๊มพ์จนกล้ามเนื้อสลาย หรือการสั่งให้นักเรียนทำท่าหัวปักพื้นเพื่อเป็นการธำรงวินัย ล้วนไม่ใช่การออกกำลังกายและฝึกความอดทน
ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานฯ จะต้องไม่ถูกยกเว้นการบังคับใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยตามมาตรา 12 ที่บัญญัติว่า “พฤติการณ์พิเศษใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงครามหรือภัยคุกคามที่จะเกิดสงคราม ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินสาธารณะอื่นใด ไม่อาจนำมาอ้างเพื่อให้การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย” เป็นเครื่องยืนยันและเป็นหลักประกันว่า “บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกทรมานและไม่ถูกบังคับให้สูญหาย” เป็นสิทธิเด็ดขาดที่ไม่สามารถอ้างความชอบธรรมใด ๆ มาอยู่เหนือกว่าได้ แม้จะมีการกล่าวอ้างถึงขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวิถีปฏิบัติกันที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานก็ตาม
ความรับผิดในความตายที่ไม่สมเหตุสมผล
ทุกการตายที่ผิดปกติของพลทหารและนักเรียนนายสิบนายร้อย ทั้งผู้ที่ถูกธำรงวินัย ถูกซ่อม ถูกสั่งให้ฝึกจนตาย ล้วนต้องมีคนรับผิดชอบ ความตายเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันหรือระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้ การกล่าวอ้างเรื่องประเพณีที่ปฏิบัติกันมาในสถาบันกองทัพและโรงเรียนนายสิบนายร้อย ย่อมถือเป็นเพียงถ้อยคำที่ถูกนำมาใช้บิดเบือนให้ความตายที่ผิดปกติ ดูเหมือนปกติขึ้นมาเท่านั้น
ด้านผู้บังคับบัญชาหรือนายทหารระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึก แม้จะอ้างว่า ความตายที่เกิดจากการฝึกหนักเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่หากพิจารณาตามองค์ประกอบความผิดของกฎหมายอาญา การที่กฎหมายจะถือว่าเพราะกระทำมีเจตนาทำความผิดหรือไม่ จะดูตรงที่ว่า ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดหรือไม่ และ รู้สํานึกในการกระทำและขณะเดียวกันผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผล หรือ ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้หรือไม่ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสองประกอบวรรคสาม)
กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แวดล้อมปรากฏว่า ผู้กระทำรู้อยู่แก่ใจดีหรือควรรู้ตามแบบที่วิญญูชนคนทั่วไปคาดหมายได้ ว่าการกระทำของตนในฐานะผู้บังคับบัญชา หรือครูฝึก หรือผู้ดูแล เป็นการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือเป็นการกระทำที่ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน หรือเสียชีวิตลงได้ ย่อมถือว่าความผิดได้กระทำลงโดยเจตนา (หรือ เป็นการพยายามกระทำความผิดในกรณีที่มีการกระทำถึงขั้นลงมือแล้ว แต่ไม่สำเร็จ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80))
ขณะเดียวกัน อย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าได้กระทำความผิดลงโดยเจตนา หรือไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด แต่หากพบว่า กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และและผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่ไม่ได้ใช้เพียงพอ ย่อมถือได้ว่า ผู้กระทำนั้นกระทำผิดโดยประมาท และอาจต้องรับผิดในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท เช่น การประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
การที่นายทหารผู้บังคับบัญชา ผู้ดูแลการฝึก ที่มีหน้ารับผิดชอบชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือนักเรียนที่เข้ารับการฝึก แต่กลับเพิกเฉย ปล่อยปละละเลยตรวจสอบปัจจัยด้านสุขภาพของพลทหารใหม่หรือนักเรียนนายสิบนายร้อย ไม่ใช้มาตรการที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียในขณะที่สามารถกระทำได้ จนทหารใหม่และนักเรียนภายใต้การดูแลเสียชีวิต ย่อมเป็นเหตุให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจต้องรับผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้
การสร้างเกราะคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับชีวิตที่เปลือยเปล่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กองกำลังทหาร กองทัพ ตำรวจ เป็นสถาบันที่มีความสำคัญในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ รักษาความมั่นคงปลอดภัยแก่บ้านเมือง แต่ขณะเดียวกัน การสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพ ย่อมมิใช่การปล่อยปละละเลยให้นายทหารใหม่ หรือนักเรียนที่จะถูกส่งเข้าไปกำลังเสริมให้กับองค์กรเสียชีวิตลงอย่างสูญเปล่า ความตายที่ผิดปกติในองค์กร การกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม ซ้อมทรมาน ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อกันในระหว่างคนในองค์กรด้วยกันเอง ต้องไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ ต้องตระหนักเสมอว่า ความแข็งแกร่งของสถาบันย่อมไม่เกิดจากการฆ่ากันเอง
ปัจจุบัน รัฐไทยมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานฯ ซึ่งยังต้องอาศัยกระบวนการขยายความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง และได้รับการปฏิบัติตามจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้หลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายกองทัพและองค์กรตำรวจ เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับชีวิตที่เคยเปลือยเปล่าของเหล่าพลทหารและนักเรียนในโรงเรียนนายสิบนายร้อย ที่หมายถึงการสร้างความแข็งแกร่ง ฟื้นฟูภาพลักษณ์ที่ดี แก่กองทัพและตำรวจไปพร้อมกันด้วย
[1] “สั่งเด้งแล้ว! ครูฝึก สั่ง นร.นายสิบ วิ่งจนเสียชีวิต!,” 13 ตุลาคม 2566, พีพีทีวีออนไลน์, https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/207969 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567)
[2] “ทภ.1 เสียใจ “พลทหาร” ตายระหว่างฝึก ยันไม่มีการซ้อม เกิดจากระบบหายใจ,” 8 มิถุนายน 2566, ไทยรัฐออนไลน์, https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2700191 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567)
[3] “อัยการสั่งฟ้องครูฝึก กรณี ‘พลทหารกิตติธร’ เสียชีวิต จากการฝึกในค่ายเม็งรายมหาราช,” 22 ธันวาคม 2566, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2023/12/107335 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567)
[4] Agamben, Giorgio, Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life, (Stanford: Stanford University Press, 1998)
[5] Pattana Kittiarsa, The “Bare Life” of Thai Migrant Workmen in Singapore, (Seattle: University of Washington Press, 2014)
[6] “แฟ้มคดี : สู้ 10 ปี-ศาลรับฟ้อง!!คดีโหดซ้อมพลทหาร‘วิเชียร เผือกสม’ดับญาติไม่หวั่นถูกคุกคาม,” 10 ตุลาคม 2564, ข่าวสดออนไลน์, https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/live-from-the-scene/news_6666726 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567)
[7] “3ปี คดีไม่คืบ ครอบครัว”น้องเมย”ยังเชื่อถูกซ่อมดับ ตะลึงหมายเรียกขู่โทษหนักไม่เกณฑ์ทหาร,” 24 สิงหาคม 2563, มติชนสุดสัปดาห์, https://www.matichonweekly.com/column/article_339160 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567).
[8] “ทหารใหญ่ดาหน้าบอก “ซ่อมสร้างวินัย” แต่ ชาวเน็ตถามทำไมทำลายชีวิต,” 22 พฤศจิกายน 2560, บีบีซีไทย, https://www.bbc.com/thai/thailand-42081598 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567).
[9] “พ.ร.บ. อุ้มหาย : มติ ครม. เลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา เหตุจัดซื้อกล้องตำรวจ 1.71 แสนตัวไม่ทัน,” 14 กุมภาพันธ์ 2566, บีบีซีไทย, https://www.bbc.com/thai/articles/c1eln58l341o (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567).
[10] “รู้ทัน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ไม่ให้มีใครถูกทรมาน – อุ้มหาย – ย่ำยีศักดิ์ศรี,” 25 สิงหาคม 2566, แอมเนสตี้ อินเตอร์แนชั่นแนล ประเทศไทย,
https://www.amnesty.or.th/latest/1158/ (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567).
[11] เรื่องเดียวกัน.
[12] เรื่องเดียวกัน.