วันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองไม่ให้บังคับบุคคลสูญหาย (CED) องค์การสหประชาชาติ จะมีการพิจารณาทบทวนสถานการณ์การบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศกัมพูชาในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้ ในการประชุมครั้งที่ 26 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2567 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในรอบการประชุมดังกล่าวได้มีสหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธฺมนุษยชน (TLHR) ส่งรายงานสถานการณ์การบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศกัมพูชาต่อคณะกรรมการฯ เป็นเอกสารข้อมูลจากภาคประชาสังคม เอกสารดังกล่าวได้ทวงถามถึงกรณีการบังคับสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ 3 ปีก่อน ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาตั้งคำถามต่อประเทศกัมพูชาในการประชุมครั้งนี้ด้วย การประชุมดังกล่าวจะมีการถ่ายทอดสดของระบบยูเอ็นและสามารถติดตามได้ที่
19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาไทย 21.00-23.00 น.: https://webtv.un.org/en/asset/k10/k10k7krj1s
20 กุมภาพันธ์ 2567เวลาไทย 16.00-19.00 น.:https://webtv.un.org/en/asset/k1w/k1wzk1dcqh
การประชุมทบทวนสถานการณ์คนหายของคณะกรรมการตามอนุสัญญาอุ้มหายฯ กลไกตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน
การทบทวนสถานการณ์ดังกล่าวเป็นไปหนึ่งในกลไกตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ที่รับรองไว้ในมาตรา 29 (1) ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บังคับบุคคลสูญหาย (ICPPED) ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีต้องเสนอรายงานว่าด้วยมาตรการต่างๆ ในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ เพื่อให้สิทธิที่รับรองไว้ในอนุสัญญาฯ เป็นจริง
โดยรัฐภาคีจะต้องนำส่งรายงานฉบับแรกให้กับคณะกรรมการฯ ภายใน 2 ปี นับแต่อนุสัญญาฯมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ประเทศกัมพูชาซึ่งได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ได้ส่งรายงานสถานการณ์ฉบับแรกแก่คณะกรรมการฯ เมื่อ 15 กรกฎาคม 2564[1] หลังจากเข้าเป็นภาคี 8 ปี
ตามระบบของกลไกนี้ก่อนที่จะมีการพิจารณารายงานแรกอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการอนุสัญญาสามารถกำหนดประเด็นปัญหา (List of Issues) ส่งให้รัฐภาคีเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นตอนดังกล่าวจะเป็นแนวคำถามให้รัฐภาคีตอบถึงรายละเอียดและประเด็นที่ลึกขึ้นถึงรายงานของรัฐภาคี[2] ในกรณีของประเทศกัมพูชา ในรอบประชุมที่ 22 ของคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 คณะกรรมการฯ ได้มีการจัดทำรายการประเด็นปัญหาที่จะเป็นฐานสำหรับการทบทวนรายงานฉบับแรกของกัมพูชาภายใต้มาตรา 29 ของอนุสัญญาซึ่งเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565[3] ก่อนที่ประเทศกัมพูชาจะส่งหนังสือตอบกลับคณะกรรมการฯ เมื่อ 23 ธันวาคม 2566[4]
การทบทวนรายงานครั้งแรกอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในรอบที่ 26 วันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2567 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อการทบทวนเสร็จสิ้นคณะกรรมการฯ จะมีการสรุปความเห็นให้แก่ประเทศกัมพูชา เพื่อให้ข้อเสนอแนะและแนวทางในการดำเนินการให้ประเทศกัมพูชาสามารถปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ที่ได้บังคับใช้และให้สิทธิที่รับรองไว้ในอนุสัญญาฯ ได้อย่างเป็นจริง
ทั้งนี้ ตามกลไกนี้หลังจากการรายงานครั้งแรกตามมาตรา 29 (1) ในอนุสัญญาฯ การพิจารณาสถานการณ์ของคณะกรรมการจะจัดการพิจารณาขึ้นอีกเป็นระยะ เมื่อคณะกรรมการต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมตามมาตรา 29(4) ทั้งนี้ประเทศไทยยังไม่ได้เป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาสำคัญฉบับนี้ในปัจจุบัน
ภาคประชาสังคมส่งรายงานถึงคณะกรรมการตามอนุสัญญาอุ้มหายฯ ทวงถามกรณีการบังคับสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ชี้กัมพูชายังบกพร่องในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
ก่อนหน้านี้สหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธฺมนุษยชน (TLHR) ได้ส่งรายงานสถานการณ์การบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศกัมพูชาต่อคณะกรรมการตามอนุสัญญาอุ้มหายฯ เป็นเอกสารข้อมูลจากภาคประชาสังคม เอกสารดังกล่าวได้ตั้งคำถามถึงการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ 3 ปีก่อน ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาตั้งคำถามต่อประเทศกัมพูชาในการประชุมครั้งนี้
ใจความของรายงานดังกล่าวพูดถึงกรณีการบังคับให้สูญหายสองกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา ได้แก่ กรณีเขม โสภา เด็กชายวัย 16 ปีที่หายตัวไประหว่างการปราบปรามอย่างรุนแรงของกองกำลังความมั่นคงกัมพูชาต่อคนงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเมื่อปี 2557 และกรณีวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย ผู้ลี้ภัยไปพำนักที่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 ถูกบังคับให้สูญหายเมื่อปี 2563 บริเวณหน้าคอนโด Mekong Garden Condominium ท่ามกลางประจักษ์พยานและหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันว่าวันเฉลิมพักอาศัยอยู่กัมพูชาและถูกบังคับให้สูญหายที่กัมพูชา แต่ไม่มีความคืบหน้าทางคดี
โดยรายงานชี้ว่าความล้มเหลวของประเทศกัมพูชาในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ให้เป็นจริงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านสองกรณีการบังคับสูญหายดังกล่าว รัฐบาลกัมพูชายังล้มเหลวในการระบุชะตากรรมและที่อยู่ของผู้ถูกบังคับให้สูญหายทั้งสองราย ตลอดจนสืบสวนสอบสวนการบังคับบุคคลให้สูญหายอย่างจริงจังจนสามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ แนวทางที่ล้มเหลวของรัฐบาลกัมพูชาในการดำเนินการต่อกรณีทั้งสองนี้ ไม่สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของรายงานฉบับแรกของกัมพูชาภายใต้อนุสัญญาอุ้มหายฯ ที่ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าว
สถานะการเข้าเป็นรัฐภาคีตามอนุสัญญาอุ้มหายฯ ของไทยยังคงไม่คืบ
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บังคับบุคคลสูญหาย (ICPPED) แม้ว่าในกรณีของประเทศไทยนั้นจะมีการตรากฎหมายภายในประเทศที่ออกภายใต้อนุสัญญาฯ ดังกล่าวอย่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แล้วก็ตาม อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ลงนามรับรองอนุสัญญาอุ้มหายฯ ไว้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2555 ต่อมาคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฯ เมื่อปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ[5] อย่างไรก็ตามในปัจจุบันแม้จะไม่มีเงื่อนไขอื่นใดและประเทศไทยสามารถเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวได้ในทันที แต่ความคืบหน้าล่าสุดจากการกระทรวงการต่างประเทศมีเพียงว่า ยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอย่างที่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนต่อไป
กัมพูชาเยี่ยมไทย บทสนทนาที่น่าสนใจระหว่างผู้นำสองประเทศ กับการประกาศทางการว่าการกดปราบข้ามชาติมีอยู่จริง?
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยในโอกาสนี้ไทยและกัมพูชาได้หารือแลกเปลี่ยนในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญและลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กว่า 5 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการรับมือเหตุฉุกเฉิน ความร่วมมือทางวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การทำงานด้านศุลกากร การส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความเข้าใจระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้ากัมพูชา นอกเหนือจากความร่วมมือผ่านบันทึกความเข้าใจทั้ง 5 ฉบับแล้วนั้น บทสนทนาและท่าทีของนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศยังได้ชวนให้ตั้งคำถามว่าการพูดคุยระหว่างผู้นำสองประเทศในครั้งนี้อาจมี ‘ความร่วมมือล่องหน’ อีกหนึ่งฉบับที่ซ่อนอยู่ด้วยหรือไม่
สำนักข่าวเบนาร์นิวส์[6] ได้รายงานว่าในการแถลงข่าวในพิธีลงนามความตกลงและแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ นายเศรษฐา ได้กล่าว่า “ผมได้ยืนยันกับท่านนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ว่ารัฐบาลไทยจะไม่อนุญาตให้ใครมาใช้พื้นที่ประเทศไทยทำกิจกรรมที่กระทบต่อกิจการภายในของกัมพูชา หรือกระทบความสัมพันธ์ระหว่างเราสองประเทศ เราจะดำเนินแนวทาง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับเรื่องนี้”
ในขณะที่ นายฮุน มาเนต ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “ขอขอบคุณที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้ความมั่นใจว่า จะไม่อนุญาตให้ใช้แผ่นดินไทยในการจัดกิจกรรมที่กระทบกิจการภายใน และการเมืองของกัมพูชา เช่นเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาขอให้คำมั่นว่า จะไม่อนุญาตให้ใครใช้แผ่นดินกัมพูชาในการทำกิจกรรมที่กระทบกิจการภายในของไทยด้วยเช่นกัน”
นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศต่างให้คำยืนยันต่อกันว่าจะ ‘ไม่อนุญาต’ ให้มีการทำกิจกรรมที่กระทบเรื่องภายในประเทศของอีกฝ่าย เกิดขึ้นในประเทศตน การแถลงข่าวอย่างชัดเจนในครั้งนี้อาจเป็นการยืนยันอย่างทางการถึงความพยายามและความร่วมมือระหว่างรัฐในการ ‘กดปราบ’ และควบคุมพลเมืองของประเทศตนที่เห็นต่างซึ่งลี้ภัยอยู่นอกประเทศต้นทางนั้นๆ ไม่ให้มีการแสดงออกทางการเมืองใดๆได้
การกดปราบข้ามชาติ ความร่วมมือของรัฐข้ามพรมแดนในการคุกคามคนเห็นต่าง และกรณีวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
‘การกดปราบข้ามชาติ’ หรือ Transnational Repression เป็นรูปแบบการละเมิดสิทธิผู้ลี้ภัยอย่างเป็นระบบโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐเป็นสำคัญในการใช้อำนาจควบคุมคนเห็นต่างซึ่งรัฐมองว่าเป็น ศัตรูของตน โดยกลุ่มคนเหล่านี้มักเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง นักสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงนักข่าว การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐดังกล่าวเป็นการร่วมมือระหว่างประเทศต้นทาง (Origin Country) ของผู้ลี้ภัย และประเทศเจ้าบ้าน (Host Country) ที่ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ ในการคุกคามพลเมืองที่เป็นศัตรูของรัฐซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยในอีกประเทศ โดยรูปแบบการคุกคามนั้นอาจมาในหลากหลายรูปแบบซึ่งเน้นการปราบปรามและการสร้างความกลัว โดยอาจเป็นทั้งการใช้ความรุนแรงโดยตรงอย่างการฆ่า อุ้มหาย ทำร้ายร่างกาย หรือโดยอ้อมอย่างการข่มขู่ทางไกลด้วยการคุกคามครอบครัวของผู้ลี้ภัยที่ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศต้นทาง ตลอดจนการควบคุมและจำกัดการเดินทางของผู้ลี้ภัย และการที่ประเทศต้นทางแทรกแซงและเจรจากับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องของประเทศเจ้าบ้าน เช่น ตำรวจหรือหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อคุกคาม กักขัง หรือส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง
การกดปราบข้ามชาติ เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และอธิปไตยของรัฐ รวมไปถึงเป็นการสะท้อนถึงรัฐเผด็จการที่เติบโตทั่วโลก จากข้อมูลที่รวบรวมโดย Freedom House พบว่ารูปแบบการละเมิดสิทธิดังกล่าวมีแนวโน้มในการเติบโตที่น่ากังวล จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2557 เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี มีการรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกดปราบข้ามชาติในรูปแบบการใช้ความรุนแรงโดยใช้กำลังทำร้ายโดยตรงกว่า 854 กรณี โดยมีรัฐบาล 38 แห่งจากประเทศต้นทางในการใช้อำนาจกดปราบคุกคามผู้ลี้ภัยอย่างเป็นระบบ ในประเทศต้นทาง 91 ประเทศทั่วโลก[7]
กรณีของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในกรณีของการกดปราบข้ามชาติ โดยมีประเทศไทยเป็นประเทศต้นทาง และกัมพูชาเป็นประเทศเจ้าบ้าน วันเฉลิมเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่องและตกเป็นเป้าในการติดตามและคุกคามของรัฐจนทำให้ต้องมีการลี้ภัยไปประเทศกัมพูชาในช่วงของการรัฐประหารปี 2557 การบังคับให้สูญหายของวันเฉลิมจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์อุ้มหายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นกรณีทีรัฐกระทำการอย่างเป็นระบบในการกดปราบข้ามพรมแดนโดยอาศัยความร่วมมือและการใช้อำนาจของอีกประเทศ และรูปแบบการคุกคามนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างเป็นระบบเมื่อใดที่รัฐต้องการควบคุมหรือกำจัดบุคคลที่มองว่าเป็นศัตรูของรัฐ หากยังไม่มีการตระหนักของสังคมถึงภัยอันตรายที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญ เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษและหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงดังกล่าว
[1] Report submitted by Cambodia under article 29 (1) of the Convention, due in 2015, GE.21-14906(E), UN Doc CED/C/KHM/1, https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CED%2FC%2FKHM%2F1&Lang=en
[2] UN Office of the High Commissioner for Human Rights (OHCHR), The United Nations Human Rights Treaty System, GE. 12-42658-August 2012-6, 336, Fact Sheet No. 30/Rev.1, The United Nations Human Rights Treaty System, https://www.ohchr.org/sites/default/files/Documents/Publications/FactSheet30Rev1.pdf [accessed 15 January 2024]
[3] Comm. on Enforced Disappearances, List of issues in relation to the report submitted by Cambodia under article 29 (1) of the Convention, GE22-06514(E), 22th Sess, Mar 28 – Arpil 8, 2022, U.N. Doc. CED/C/KHM/Q/1 (May 3, 2022) https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CED%2FC%2FKHM%2FQ%2F1&Lang=en [accessed 15 January 2024]
[4] Replies of Cambodia to the list of issues in relation to its report submitted under article 29 (1) of the Convention, GE.23-26090 (E) 26th Sess, Feb 19 – Mar 1, 2024, U.N. Doc.CED/C/KHM/RQ/1, (December 28, 2023) https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CED%2FC%2FKHM%2FRQ%2F1&Lang=en [accessed 15 January 2024]
[5] “พัฒนาการของไทยต่อการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสาบสูญ”, 30 มิถุนายน 2560, กระทรวงการต่างประเทศ, https://www.mfa.go.th/th/content/5d5bd0c715e39c3060021430?cate=5d5bcb4e15e39c306000683d (สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567)
[6] นนทรัฐ ไผ่เจริญ, เศรษฐา-ฮุน มาเนตจับมือปราบปรามนักกิจกรรมการเมืองข้ามประเทศ, เบนาร์นิวส์, 7 กุมภาพันธ์ 2567, https://www.benarnews.org/thai/news/th-cambodia-pm-hun-manet-visit-02072024034222.html (สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2567)
[7] Yana Gorokhovskaia, Nate Schenkkan, Grady Vaughan, “Still Not Safe: Transnational Repression in 2022”, (Washington, DC: Freedom House, April 2023)