แถลงการณ์ ภาคีเซฟบางกลอย บางกลอย คดีเดินหน้า ความยุติธรรมถอยหลัง
ยังจำกันได้หรือไม่?
เหตุการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เกิดยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชรโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดปฏิบัติการผลักดันชาวบ้านบางกลอยออกจากถิ่นฐานดั้งเดิม และเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังกันอีกครั้งเพื่อเข้าควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอยลงมาจากบ้านบางกลอยบน กว่า 80 ราย มีการออกหมายจับจำนวน 30 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ หน่อแอะ มีมิ ลูกชายของปู่คออี้ มีการตั้งข้อกล่าวหาความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484
กลุ่มภาคีเซฟบางกลอย ได้มีการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงอัยการจังหวัดเพชรบุรี และอัยการสูงสุด เพื่อให้พิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 ทางรองอัยการสูงสุด ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม
“มีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมในคดีนี้ของผู้ร้อง โดยมีความเห็นว่า การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ร้องทั้ง 28 คนตามข้อกล่าวหาโดยมีเหตุผลประกอบชอบด้วยข้อเท็จจริงแล้ว ข้ออ้างของผู้ร้องไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานตามข้อกล่าวหาได้” นั่นหมายความว่า จะมีการเดินหน้าสั่งฟ้องพี่น้องบางกลอยทั้งหมด
ในขณะที่ท่าทีรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เป็นไปในทิศทางที่ดี มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย และมีการทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรี มีการลงนามเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 ใน 2 ประเด็น
1. ข้อเสนอในการการแก้ไขปัญหา มี 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 : กรณีที่พี่น้องบางกลอยต้องการอยู่ในชุมชนปัจจุบัน ให้ใช้แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตแลส่งเสริมอาชีพ
แนวทางที่ 2 : กรณีพี่น้องบางกลอยที่ต้องการกลับไปยังชุมชนดั้งเดิม (บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน) เพื่อดำรงวิถีชีวิตด้วยระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ให้ใช้แนวทางพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ตามหลักการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ถูกรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 และมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553
2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย เพื่อดำเนินการสำรวจการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามวิถีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย
จะเห็นได้ว่า ท่าทีของภาครัฐต่อประเด็นปัญหาพี่น้องบางกลอย มีการยอมรับถึงที่อยู่อาศัยดั้งเดิม ซึ่งก็คือ บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน มีการยอมรับในวิถีชีวิตระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน มีแผนการดำเนินการที่จะให้พี่น้องบางกลอย กลับไปใช้ชีวิตในพื้นที่บ้านเกิด
ทิศทางดังกล่าว สวนทางกับท่าทีของสำนักงานอัยการที่ยังคงเดินหน้า ไม่ยุติการดำเนินคดีกับพี่น้องบางกลอย ซึ่งจุดเริ่มต้นของคดีก็มาจากการต่อสู้เพื่อให้กลับไปยังบ้านเกิด และเป็นคดีที่ถูกแจ้งถึงการบุกรุก เพียงเพราะกลับไปยังพื้นที่เดิม
ทางภาคีเซฟบางกลอย มีความคิดเห็นต่ออัยการสูงสุด ดังนี้
1. ขอเรียกร้องให้มีการทบทวนความเห็น
ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 อัยการมีอิสระในการพิจารณา และสามารถมีคำสั่งในการไม่ฟ้องดำเนินคดีกับพี่น้องบางกลอยได้
การเดินหน้าฟ้องคดีจะเป็นการซ้ำเติมปัญหาและสร้างภาระในการต่อสู้คดีในชั้นศาล ทั้งภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร และพี่น้องอาจต้องสูญเสียอิสรภาพ เท่ากับเป็นการเพิ่มความทุกข์ยากในการดำเนินชีวิต ซึ่งในปัจจุบันพี่น้องบางกลอยก็ได้ดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัสอยู่แล้ว
2. การดำเนินการจับกุมพี่น้องบางกลอย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 นั้นมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย จากการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พบว่า
2.1 มีการเก็บ DNA โดยแจ้งว่าเป็นการตรวจโรค ในกระบวนการไม่มีล่ามแปล ทำให้พี่น้องที่ถูกจับกุมเกือบทั้งหมดซึ่งสื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ในการดำเนินการดังกล่าว
2.2 การดำเนินการสอบสวน มีการใช้ล่ามแปลภาษาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน ที่เป็นคู่กรณีโดยตรงของพี่น้อง และทนายความที่เจ้าหน้าที่จัดหามาไม่ได้มีการให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือใดๆ เลย
2.3 ไม่มีการอธิบายหรือแปลบันทึกการสอบสวนให้ฟังก่อนพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งทำให้พี่น้องมาทราบภายหลังว่า บันทึกการสอบสวนนั้นระบุว่า ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
และในวันดังกล่าว ก่อนนำตัวพี่น้องลงมาจากบางกลอยบน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าหากยอมลงมากับเจ้าหน้าที่ จะมีการจัดพื้นที่ทำกินให้กับทุกครัวเรือน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาพี่น้องมาถึงสำนักงานอุทยานแห่งชาติ กลับมีการควบคุมตัวส่งดำเนินคดี และส่งไปฝากขังยังศาลจังหวัดเพชรบุรีทันที ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำ และปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการจัดสรรพื้นที่เพิ่มเติมให้แก่พี่น้องตามที่รับปากแต่อย่างใด
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กระแสความสนใจต่อประเด็นนี้ในสังคม ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ทางภาคีเซฟบางกลอย เราจะยืนเคียงข้างพี่น้องและสื่อสารกับผู้คนในสังคม เพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชน ร่วมกันติดตาม และยืนเคียงข้างพี่น้องชาวบ้านบางกลอย จนกว่าพวกเขาจะได้เดินทางกลับบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน
#saveบางกลอย
#บางกลอยคืนถิ่น
#ชาติพันธุ์ก็คือคน