เมื่อวันที่ (7 ก.พ. 2566) เวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้นัดไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกรณีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ยื่นอุทธรณ์เพื่อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น หลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สตช. (จำเลย) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้กระทำการละเมิดและทรมานนายฤทธิรงค์ชดใช้ค่าเสียหายเพียง 3.8 ล้านบาทและยกคำร้องขอให้ สตช. ลบทะเบียนประวัติอาชญากรของตนออกจากสาระบบทั้งหมด เนื่องจากนายฤทธิรงค์ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะสามารถจ่ายธรรมเนียมในการขึ้นศาลครั้งนี้ได้
คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2552 ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดจับกุมและซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย โดยมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดีวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งจากการสืบสวนในภายหลังพบว่าเป็นการจับผิดคน ต่อมาเมื่อปี 2558 ฤทธิรงค์จึงได้ฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวรวม 7 นาย คดีดังกล่าวมีคำพิพากษาให้คดีถึงที่สุด ต่อมา ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร จึงได้ฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งต่อ สตช. ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2560 โดยเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และขอให้ลบทะเบียนประวัติอาชญากรของโจทก์ออกจากทะเบียนประวัติอาชญากร และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาสั่ง สตช.ชดใช้ค่าเสียหาย เพียง 3.38 ล้านบาท ส่วนคำร้องอื่นๆ ให้ยกคำร้อง เมื่อวันที่ 27 ธ.ค 66 ที่ผ่านมา นายฤทธิรงค์ มีความประสงค์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลสูงพิจารณาในความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอด 13 ปีของนายฤทธิรงค์อีกครั้ง จึงได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล เนื่องจากนายฤทธิรงค์ไม่มีทรัยพ์สินเพียงพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมศาลเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในครั้งนี้ได้
หลังการไต่สวนเสร็จสิ้นในวันนี้ศาลได้มีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขึ้นศาล โดยมีคำสั่งว่า ภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ตั้งแต่ปี 2552 นายฤทธิรงค์ (โจทก์) ต้องถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดี เสียค่าใช้จ่ายไปจำนวนมาก ทั้งภายหลังเกิดเหตุโจทก์ต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิตเวชโรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุสะเทือนขวัญ (PTSD) ปัจจุบันยังต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อยู่ การดำรงชีพของโจทก์และครอบครัวต้องได้รับการช่วยเหลือจากทางบิดามารดาของโจทก์ จึงน่าเชื่อว่าโทก์ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือหากโจทก์ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ประกอบกับคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีเหตุผลอันสมควร จึงอนุญาตให้โจทก์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมด
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจติดตามคำพิพากษาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ได้ต่อไปว่าจะสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อที่ต่อสู้มาตลอด 13 ปี ได้มากน้อยเพียงใด จะมีมาตรการเชิงลงโทษหน่วยงานรัฐให้ตระหนักและอบรมเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตนเองให้ปฎิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่ ต่อไป