[:th]CrCF Logo[:]

ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล หลังนายฤทธิรงค์ เหยื่อซ้อมทรมานอุทธรณ์คำสั่ง สตช. ชดใช้ค่าเสียหาย เพียง 3.38 ล้าน

Share

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ได้ยื่นอุทธรณ์เพื่อโต้แย้งคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในประเด็นเรื่องค่าสินไหมทดแทนและประเด็นให้ สตช. ลบทะเบียนประวัติอาชญากรของฤทธิรงค์ของจากสาระบบทั้งหมด โดยฤทธิรงค์ได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขึ้นศาลครั้งนี้อีกด้วย เนื่องจากฤทธิรงค์ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะสามารถจ่ายธรรมเนียมในการขึ้นศาลได้ ศาลจึงกำหนดนัดไต่สวนยกเว้นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ 7 ก.พ 66 เวลา 13.30 น. นี้ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้

คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2552 ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดจับกุม และซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย โดยมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดีวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งจากการสืบสวนในภายหลังพบว่าเป็นการจับผิดคน ต่อมาเมื่อปี 2558 ฤทธิรงค์จึงได้ฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวรวม 7 นาย

โดยในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถือว่าถึงที่สุดว่า พันตำรวจโทวชิรพันธ์ โพธิราช จำเลยที่ 3 กระทำความผิดจริง ตามประมวลอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง, 295, 296, 309, 310 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จึงลงโทษฐาน “เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญา กระทำการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ” ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด โดยลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 12,000 บาท

แต่ศาลลดโทษให้โดยเห็นว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 8,000 บาท เมื่อคำนึงถึงประวัติ อาชีพ และสภาพความผิดแล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว กล่าวคือรอลงอาญาไว้เป็นเวลา 2 ปี ต่อมา ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร จึงได้ฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งต่อ สตช. ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2560

โดยเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ. ความละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และขอให้ลบทะเบียนประวัติอาชญากรของโจทก์ออกจากทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหายต่อร่างกายจากการถูกซ้อมทรมานด้วยการทำร้ายและการคลุมถุงดำบังคับให้รับสารภาพ ถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้อำนาจกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ชอบ กระทำให้โจทก์และครอบครัวเสียชื่อเสียง รวมทั้งต้องแบกรับบาดแผลทางจิตใจและภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาและดำเนินคดีมาตลอด 13 ปี

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เห็นว่า “บาดแผลตามเนื้อตัวร่างกายของโจทก์ที่ปรากฎตามผลชันสูตร โดยแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลตรวจบาดแผลมีการกดเจ็บที่ข้อมือสองข้าง กดเจ็บที่คอด้านหลัง ไม่พบบาดแผลที่ท้อง มีลอยถลอกด้านซ้ายบน ที่ท้องด้านซ้ายล่าง ใช้เวลารักษา 3 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์พบเพียงบาดแผลถลอกบนร่างกาย และโจทก์เบิกความว่า ถูกทำร้ายร่างกายโดยใช้ถูกพลาสติกคลุมศรีษะ และมัดรวบด้านหลังทำให้ขาดอากาศหายใจ โดยกระทำหลายครั้งทั้งที่ยังใช้ถุงคลุมหลายใบครอบหลายชั้น จนขาดอากาศจนโจทก์มีอาการชักเกรง

รวมทั้งใช้เข่ากดบริเวณลำตัวไม่ให้ดิ้น ทั้งข่มขู่ว่า หากโจทก์ไม่รับสารภาพ ถ้าโจทก์ตายจะนำศพไปทิ้งที่เขาอีโต้ เป็นเพียงคดีคนหายเท่านั้น เพียงเพื่อให้รับสารภาพว่าได้กระทำความผิดอาญา การกระทำทั้งโจทก์เป็นการทรมานโจทก์ในฐานะผู้ต้องหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อไม้ให้เกิดร่องรอยบาดแผลบนลำตัวของโจทก์ และเป็นการป้องกันตนเองให้พ้นจากความรับผิดทางกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรของสหประชาชาติ และกฎหมายรัฐธรรมนูญอีกด้วย”

และให้ สตช. ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฤทธิรงค์ ประกอบด้วย ค่าเสียหายต่อชีวิตร่างกาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 1 ล้านบาท ค่าเสียหายต่อการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว 8 หมื่นบาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงโดยคำนวนจากสถานภาพของโจทก์ขณะถูกทำร้าย และโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคต ให้ 3 แสนบาท และสุดท้ายค่าเสียหายต่อจิตใจ

โดยศาลได้พิจารณาจากคำเบิกความของแพทย์ที่รักษาโจทก์มาเป็นเวลาหลายปี ว่าโจทก์มีอาการทางจิตเวชหรือ PTSD หรือโรคเครียดอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าว 2 ล้านบาท จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,380,000 บาทโดยให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดต่อฤทธิรงค์เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชน และประชาชนที่สนใจ ติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามว่าศาลจะบรรเทาความเจ็บปวด และยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ฤทธิรงค์เหยี่อจากการทรมานที่เรียกร้องความเป็นธรรมมาตลอด 13 ปี หรือไม่ และทวงถามความรับผิดชอบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ปล่อยปะละเลยให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดของ สตช. กระทำละเมิดต่อระชาชนอย่างร้ายแรง เพื่อคืนความเป็นธรรมและให้แก่ครอบครัวนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ต่อไป