ห้วงเวลาที่ผ่านมา เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันมาอย่างยาวนานว่า กระบวนการยุติธรรม หรือการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนคนไทย เป็นสิ่งที่มีราคาสูง ดังคำกล่าวที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ซึ่งหมายถึง กรณีที่เกิดคดีความขึ้น บุคคลผู้มีสถานภาพทางสังคมต่ำมักจะตกเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ กลับกันหากเป็นบุคคลที่มีสถานะทางสังคม และเศรษฐกิจสูง ก็จะเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ข้อความคิดดังกล่าว ทำให้นึกถึงคำพูดของ อแนคคาซิส (Anacharsis) นักปรัชญาชาวไซเทียน (Scythians) ที่มีชีวิตอยู่ช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาลที่กล่าวถึงลักษณะของกฎหมายว่า “กฎหมายก็เหมือนกับใยแมงมุม ที่จะดักจับได้เฉพาะคนอ่อนแอ และยากจน แต่จะแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดีเมื่อเจอกับคนรวย และผู้มีอิทธิพลบารมี”
ดังนั้น บทความนี้ จะพยายามอภิปรายถึง “ทุน” และ “สิ่งที่ต้องจ่าย” ของประชาชนที่มีสถานะเป็นเบี้ยล่างของโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทย เมื่อเผชิญปัญหาความรุนแรงและต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ประชาชนต้องสะสมทุนอะไรบ้าง เพื่อให้ตนเองสามารถเข้าใกล้กับความยุติธรรม

แนวคิดว่าด้วย “ทุน” ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ทุน” (capital) ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียม เกิดระบบชนชั้น และเกิดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของสังคม รวมถึงเรื่องการเข้าถึงความยุติธรรม เพราะทุนจะเป็นตัวกำหนดให้ปัจเจกบุคคลแต่ละคนมีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมนั้นๆ แตกต่างกันไป จะเป็น “คนอ่อนแอ” หรือ “ผู้ทรงอิทธิพล” ก็ขึ้นอยู่กับทุนที่ตนเองครอบครอง ซึ่งทุนที่ต่างกัน ย่อมทำให้ความเป็นไปได้และศักยภาพในการบรรลุเป้าหมาย ตลอดจนการเผชิญกับปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ มากน้อยแตกต่างกันไปด้วย
คำว่าทุนในที่นี้ จะมีความหมายที่แตกต่างไปจากคำว่า “ต้นทุน” (cost) ที่หมายถึง มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปเพื่อให้ได้มาตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ แต่ทว่า ทุน ในบทความนี้ จะหมายถึง ปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพของบุคคลในสถานการณ์ความขัดแย้งหรือในคดีความที่คู่ขัดแย้งจำเป็นต้องสะสม เพื่อสร้างแต้มต่อให้ตนสามารถเข้าใกล้และบรรลุเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้ได้ ทั้งนี้ ปีแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) นักปรัชญาสังคมชาวฝรั่งเศส ผู้วางรากฐานความคิดว่าด้วยทุน ได้แบ่งประเภทของทุนเป็น 4 ลักษณะ คือ 1Bourdieu, P., The Forms of Capital in Halsey, A.H., H. Lauder, P. Brown and A.S. Wells (eds). (Oxford: Oxford University Press. 1997), 46 – 75.
(1) ทุนทางเศรษฐกิจ (economic capital)
ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประชาชน กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้ประสงค์จะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐกรณีที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จำเป็นต้องอาศัยเงินทอง ทรัพย์สินที่มี ความมั่งคั่งทางวัตถุ และการต้องสละเวลาทำมาหากินจำนวนมาก สถานะทางเศรษฐกิจเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะคอยเสริมศักยภาพในการต่อสู้คดี เพราะตลอดห้วงเวลาที่กระบวนการยุติธรรมดำเนินอยู่ ประชาชนจะต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องต่างๆ หลายส่วน ทั้งค่าทนายความ ค่าขึ้นศาล ค่าเดินทาง
รวมถึงการแบกรับค่าเสียโอกาสในการทำมาหากิน การหารายได้ ซึ่งแทนที่จะเอาเวลาไปหาเงินมาเลี้ยงชีพ และจับจ่ายภายในครอบครัว หลายคนกลับต้องนำมาใช้กับการดำเนินคดีความแทน ซึ่งในแง่นี้ “เวลา” ถือเป็นส่วนหนึ่งของทุนทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น คือ ทุนทางเศรษฐกิจอาจเป็นเสมือนน้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนให้บุคคลที่ต่อสู้คดียังคงมีพลกำลังหรือมีแรงที่จะใช้ในการแสวงหาความยุติธรรมได้ต่อๆ ไป เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คดีความมักใช้ระยะเวลาดำเนินกระบวนการนานกว่าปกติ และยิ่งระยะเวลาที่ผ่านไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าต้องใช้จ่าย และสูญเสียโอกาสในการหารายได้มากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น การที่บุคคลใดสามารถสะสมทุนทางเศรษฐกิจไว้มาก ย่อมทำให้บุคคลนั้นมีศักยภาพในการแสวงหาความยุติธรรมให้เป็นจริงได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้าม หากบุคคลใดมีความด้อยสถานะทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถสะสมทุนดังกล่าวไว้ได้ การสยบยอมและยอมรับความพ่ายแพ้ก็อาจเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัญหาในมิตินี้ จะยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัด เมื่อประชาชนที่ต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นประชากรกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือเป็นกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ และต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวน ก็ยิ่งทำให้ความยุติธรรมดูเหมือนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
(2) ทุนทางสังคม (social capital)
การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมไทย องค์ประกอบที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าทุนทางเศรษฐกิจ คือ การสะสมทุนทางสังคม ผ่านการสร้างเครือข่าย ความสัมพันธ์ พันธมิตร หรือการจัดตั้งกลุ่มของผู้มีส่วนได้เสียและมีเป้าหมายในเรื่องเดียวกัน การสะสมทุนทางสังคม ในแง่หนึ่งยังเป็นการเสริมศักยภาพหรืออำนาจในการต่อรองให้ทัดเทียมกับอีกฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าเป็นทุนเดิมได้ 2รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข, มโนทัศน์ชนชั้นแลทุนของ ปิแอร์ บูร์ดิเออ, วารสารเศรษฐศาสตร์การเมืองบูรพา, 2 ฉ.1 (2557), 39 เพราะการที่คู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถก่อตั้งเครือข่ายของกลุ่มผลประโยชน์ขึ้น ก็ถือเป็นการสะสมทุนหรือทรัพยากรด้านอื่นๆ ไปในตัว
ทุนทางสังคมนี้ เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของกลุ่มทางสังคมผ่านระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความรู้สึกที่มีร่วมกัน ความเข้าใจที่มีร่วมกัน บรรทัดฐานที่มีร่วมกัน คุณค่าที่มีร่วมกัน ความไว้วางใจ ความร่วมมือ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างชอบธรรม เพื่อนำพากันและกันไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด 3Ostrom, E., Social capital: A fad or a fundamental concept? In P. Dasgupta & I. Serageldin (Eds.), Social Capital: A multifaceted perspective. (Washington, DC: World Bank. 2000), 176
กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายคือ การต่อสู้คดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายประชาชนจำเป็นต้องอาศัย “เส้นสาย” และความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายทนายความที่ทำงานประเด็นสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะเป็นฝ่ายที่นำองค์ความรู้ และวิชาชีพทางด้านกฎหมายมาประจันหน้ากับฝ่ายรัฐที่ครอบครองทรัพยากรจำนวนมากบนชั้นศาล หรือ บางกรณีการดำเนินกระบวนการยุติธรรม ยังต้องอาศัยวิธีการนอกกฎหมายโดยอาศัยความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้มีอำนาจหรือผู้มีสถานะทางสังคมระดับสูง เช่น นายทหารระดับสูง นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา เพื่อเป็นช่องทางเข้าเร่งรัด ตรวจสอบ และติดตามคดี
ปัญหาคือ การสะสมทุนทางสังคม ต้องอาศัยโอกาสในการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมทางสังคมรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าผู้กระทำการจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เช่น งานรื่นเริง งานสัมมนา งานประชุม ฯลฯ 4Chevalier, S. and Chauviré, C., Dictionnaire Bourdieu. (Paris: Ellipses, 2010), 18 – 19 อ้างใน ฐานิดา บุญวรรโณ, ความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์หลักของปิแอร์ บูร์ดิเยอ, วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 18 ฉ.1 (2565), 16.
แต่ทว่าในประเทศที่ผู้คนมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมเหลื่อมล้ำกันสูง ย่อมทำให้โอกาสการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ดังกล่าวแตกต่างกันไปด้วย ส่งผลให้การแสวงหาความยุติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับกลุ่มคนชายขอบหรือผู้ที่มีสถานะด้อยกว่าเพราะคนกลุ่มนี้ไม่สามารถสะสมทุนทางสังคมและสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับเหล่าผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีสถานะสูงกว่าได้

(3) ทุนทางวัฒนธรรม (cultural capital)
เรื่องทุนทางวัฒนธรรม นัยหนึ่ง คือ การชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “องค์ความรู้” ที่บุคคลคน ๆ หนึ่งได้ร่ำเรียนมา ซึ่งสะท้อนออกมาด้วยสภาวะที่แฝงฝังอยู่ในตัวตนของบุคคลคนนั้น ให้กลายเป็นคนมีความรู้ความสามารถในขอบเขตความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเฉพาะทาง การได้รับการขัดเกลา ความสามารถในการใช้ภาษาได้ดีและมีวาทศิลป์ ตลอดจนถึงการตระหนักรู้ถึงกฎระเบียบของโลกทางสังคม 5ฐานิดา บุญวรรโณ, เรื่องเดียวกัน, 16. สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้บุคคลนั้นมีทุนทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ทุนทางวัฒนธรรม ยังสามารถปรากฏออกมาเป็นที่รับรู้เชิงประจักษ์และเป็นรูปธรรม ด้วยสภาวะที่องค์ความรู้ถูกทำให้กลายเป็นสถาบัน ผ่านการดำรงชั้นยศ ตำแหน่ง วุฒิการศึกษา ใบประกาศนียบัตร รวมทั้งสถานะที่ได้รับการยอมรับในเชิงสถาบันไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ อัยการ ผู้พิพากษา หรือตำแหน่งหน้าที่ต่อสาธารณะ ซึ่งทุนทางวัฒนธรรม เช่นนี้ ส่งผลให้บางสังคม ผู้คนทั้งหลายไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะคนจำนวนมากยังคงขาดโอกาสในการแสวงหาความรู้ ภายใต้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เรื้อรังและรุนแรง
ดังนั้น การเข้าถึงและการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรม ล้วนต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายและกระบวนการพิจารณาคดี การเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์ ก็ถือเป็นผู้ที่มีทุนเหนือกว่าคนอื่น ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้
(4) ทุนทางสัญลักษณ์ (symbolic capital)
ทุนลักษณะสุดท้าย คือ ทุนทางสัญลักษณ์ 6รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข, เรื่องเดียวกัน, 40 – 41. ซึ่งบุคคลอาจรับรู้ได้จากการสัมผัสรู้และยอมรับว่ามีอยู่ เช่น ชื่อเสียง ความมีรสนิยม ความสวย ความหล่อ ความน่าดึงดูด สถานะทางชนชั้น ศักดิ์ศรี การได้รับการยอมรับ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สังคมหนึ่งๆ สถาปนาขึ้นผ่านกระบวนการประเมินคุณค่าเชิงสังคมว่าจะให้ความหมายต่อสรรพสิ่งว่า อย่างไรสวย อย่างไรมีรสนิยม อย่างไรอัปลักษณ์ อย่างไรเชย และก็ที่สามารถสะสมทุนทางสัญลักษณ์ ย่อมส่งผลให้เจ้าของทุนเกิดความได้เปรียบ และเกิดเป็นผลประโยชน์ต่างๆ ตามมา
ทุนลักษณะนี้สามารถได้มาจากการที่บุคคลคนนั้นมีทุนทางเศรษฐกิจเป็นพื้นฐาน และหากมีทุนทางเศรษฐกิจมากพอ บุคคลในสังคมก็จะรับรู้และยอมรับสถานะที่มั่งคั่ง เช่น การเป็นเจ้าสัว หรืออีกทางหนึ่ง บุคคลที่เป็นตัวแสดงในสังคมอาจใช้ทุนทางเศรษฐกิจที่ตัวเองครอบครองนำไปสร้างประโยชน์กับคนอื่น ๆ ด้วยการบริจาค การตั้งมูลนิธิ หรือสมาคม ซึ่งจะทำให้สังคมรับรู้และให้คุณค่าตัวบุคคลนั้นด้วยคำว่า “คนดี” ของสังคมหรือผู้ใจบุญ 7ฐานิดา บุญวรรโณ, เรื่องเดียวกัน, 16.
ในระบบกฎหมาย ทุนทางสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยด้านกฎหมายในต่างประเทศ ได้ชี้ให้เห็นปัญหาว่า ผู้ที่มีความน่าดึงดูดหรือมีรูปลักษณ์ภายนอกตรงกับแบบฉบับของมาตรฐานความงาม (beauty standard) ของสังคม มีโอกาสที่จะถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดหรือถูกจับกุมน้อยกว่า และส่งผลอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้นต่อบุคคลที่เป็น ‘ผู้หญิง’ ที่มีรูปร่างหน้าตาตรงตามมาตรฐานความงาม 8Kevin M. Beaver, Cashen Boccio, Sven Smith, and Chris J. Fergusond, Physical attractiveness and criminal justice processing: results from a longitudinal sample of youth and young adults, Psychiatr Psychol Law. 2019; 26(4): 669–681.
และในแง่ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้มีวัตถุพยานหลักฐานหรือข้อมูลภูมิหลังใดๆ ของบุคคลผู้ต้องสงสัย การที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ รวมถึงการตัดสินใจกระทำการใด ๆ ที่มีผลในทางกฎหมาย การรับรู้ที่นำมาประกอบการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็หนีไม่พ้นเรื่องรูปร่างลักษณะหน้าตาและความน่าดึงดูดของคนนั้น 9Rhode, D., The Beauty Bias: The Injustice of Appearance in Life and Law, (New York: Oxford University Press, 2010)
ดังนั้น ปัญหาสำหรับของคนบางกลุ่มที่ถูกสังคมประเมินค่าให้มีสถานะด้อยกว่า รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติที่ต้องถูกกำจัด เช่น ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐนำมาเชื่อมโยงกับปัญหาขบวนการค้ายาเสพติด กลุ่มทหารเกณฑ์ที่มีตำแหน่งชั้นยศต้อยต่ำที่สุดในสายบังคับบัญชาของทหาร ประชาชนชาวมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทยที่ถูกเหมารวมให้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ ผู้คนเหล่านี้ ย่อมเป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถครอบครองทุนทางสัญลักษณ์ และต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกระบวนการยุติธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีศึกษา: การต่อสู้ทางคดีระหว่างรัฐกับประชาชนผู้ไร้ทุน
กรอบคิดว่าด้วย “ทุน” ที่อภิปรายไว้ข้างต้น จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำมาวิเคราะห์ถึงปัญหา ปรากฏการณ์ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อมิติในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ก่อความรุนแรงต่อประชาชน กล่าวคือ ประชาชนที่ไม่สามารถสะสมทุนประเภทต่าง ๆ ไว้ได้ ก็ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ทำให้ความยุติธรรมเป็นเรื่องห่างไกล ทั้งนี้ เนื้อหาส่วนนี้ จะเป็นการยกกรณีศึกษา ซึ่งเป็นคดีความที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือเหยื่อ เพื่อจะสะท้อนให้เห็นภาพว่า ประชาชนที่ขาดไร้ทุนต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร เมื่อต้องต่อสู้คดีกับฝ่ายรัฐและผู้มีอำนาจ

กรณีศึกษาที่ 1: คดีชัยภูมิ ป่าแส
กรณีศึกษาคดีแรก คือ เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กระทำการวิสามัญ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ด้วยอาวุธเอ็ม 16 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ฝ่ายเจ้าหน้าที่อ้างว่า ในวันดังกล่าวได้เรียกตรวจค้นรถที่ชัยภูมิโดยสารมาด้วย และพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในกรองอากาศของรถคันดังกล่าว พร้อมอ้างอีกว่าผู้ตายพยายามขัดขืนการจับกุม โดยหยิบมีดจากหลังรถพยายามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตามไปพบว่า ผู้ตายกำลังจะปาระเบิดชนิดขว้างสังหารใส่ จึงได้ทำการวิสามัญโดยยิงเข้าที่ตัวของชัยภูมิ 1 นัด 10นักข่าวพลเมือง, “เปิด Timeline จากปากคำชาวกองผักปิ้ง วัน ชัยภูมิ ป่าแส ถูกทหารวิสามัญฯ,” 29 มีนาคม 2560, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2017/03/70800 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
การตายของ ชัยภูมิ สร้างบรรยากาศความน่าสงสัยและความไม่ชอบมาพากลแก่ญาติและผู้คนในสังคมทั่วไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นภาพจากกล้องวงจรปิด ในฐานะพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งอาจบ่งชี้ข้อเท็จจริงและเรื่องราวของเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นได้ แต่เมื่อมีการตรวจไฟล์กล้องวงจรปิดกลับตรวจไม่พบข้อมูลวันเกิดเหตุ
จึงมีเพียงคำกล่าวอ้างของ พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ณ ขณะนั้น ที่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า ได้ดูภาพกล้องวงจรปิดดังกล่าวแล้ว แต่ยังระบุไม่ได้ว่าใครผิด ส่วนตัวจะไม่ขอแทรกแซงหรือสั่งให้นำมาเปิดเผย พร้อมบอกให้สังคมรอก่อน 11บีบีซีไทย, “รายงาน: หนึ่งเดือน คดีวิสามัญ “ชัยภูมิ ป่าแส” กับปมปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย,” 17 เมษายน 2560, บีบีซีไทย, https://www.bbc.com/thai/thailand-39619396 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). จนสุดท้ายผลการไต่สวนการตายของศาล ก็ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ทหารกระทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อเท็จจริงยังคงเต็มไปด้วยเงื่อนงำต่อไป 12ข่าว, “คดีวิสามัญฯ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ทนายผิดหวังคำสั่งไต่สวนการตายของศาล-เตรียมจัดเวทีวิชาการใหญ่,” 6 มิถุนายน 2561, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2018/06/77311 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง ส่วนคดีอาญาก็ยังไม่มีการสั่งฟ้องหรือความคืบหน้าใด ๆ มาเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปีนับตั้งแต่ชัยภูมิเสียชีวิต ครอบครัวและญาติของชัยภูมิ จึงตัดสินใจดำเนินการฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบกในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 13ข่าว, “ครอบครัว ‘ชัยภูมิ ป่าแส-อะเบ แซ่หมู่’ ฟ้องแพ่งให้กองทัพบกชดใช้กรณีวิสามัญฯ,” 22 พฤษภาคม 2562, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2019/05/82576 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). แต่ปัญหา คือ หากวิเคราะห์ “ทุน” ของครอบครัวและญาติชัยภูมิที่มีอยู่น้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นมิติทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรม และทางสัญลักษณ์ เนื่องจากว่าเป็นเพียงกลุ่มคนชายขอบ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญทางวัตถุ ประกอบกับเป็นคนชาติพันธุ์หรือ “คนดอย” ที่มักถูกตีตราว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด รวมทั้งยังขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและเรื่องของกฎหมาย เหล่านี้ยิ่งทำให้การเรียกร้องความยุติธรรมของพวกเขาเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ทุนอย่างเดียวที่ครอบครัวชัยภูมิมีอยู่ คือ ทุนทางสังคม ในแง่ที่มีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายตามแต่ละขั้นตอน แต่ทว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้ และเมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่เป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีทุนอยู่มากมาย ทั้งความรู้ งบประมาณแผ่นดิน สถานภาพทางสังคม และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชนชั้นปกครองในประเทศ โดยสถานการณ์ที่ทุนของทั้งสองฝ่ายไร้ซึ่งความเสมอภาคเช่นนี้ ส่งผลต่อลักษณะและความเป็นไปของกระบวนการยุติธรรมคดีชัยภูมิอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ แม้แหตุการณ์จะผ่านไปกว่าครึ่งทศวรรษ ครอบครัวชัยภูมิ ยังไม่อาจเรียกร้องความยุติธรรมใด ๆ ให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักของได้เลย พวกเขาไม่มีเส้นสายที่จะไปเร่งรัดให้เจ้าพนักงานสอบสวน อัยการทหารดำเนินการรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนการฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยให้น้ำหนักกับคำให้การในชั้นพนักงานสอบสวนของพยานที่ไม่ได้มาเบิกความบนชั้นศาล ซึ่งไม่ใช่คำให้การในวันที่เกิดเหตุ 14ข่าว, “ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีวิสามัญ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’-กองทัพบกไม่ต้องจ่ายเงินเยียวยาแก่ครอบครัว,” 26 มกราคม 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/01/96974 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
การขาดไร้ซึ่งทุนเกือบทุกมิติ นอกจากทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้แล้ว ยังสร้างความยากลำบากแก่ครอบครัวชัยภูมิเป็นอย่างมาก พวกเขาต้องสูญเสียโอกาสหลายด้าน ต้องทนทุกข์กับการถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ และถูกคนในชุมนุมตัดขาดความสัมพันธ์ เนื่องจากถูกมองว่าเป็นครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การที่ติดต่อกับครอบครัวชัยภูมิอาจถูกทำให้ติดหางเลขไปด้วย ขณะเดียวกัน หนทางสู่ความยุติธรรมของครอบครัวชัยภูมิยังคงมืดมนต่อไป

กรณีศึกษาที่ 2: คดีฤทธิรงค์ ชื่นจิตร
คดีที่สองที่จะนำมาเป็นกรณีศึกษา คือ คดีของฤทธิรงค์ ชื่นจิตร จากเหตุการณ์วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ฤทธิรงค์ ขณะนั้นยังคงเป็นนักเรียนชั้น ม.6 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวระหว่างขับมอเตอร์ไซค์อยู่ในตัวเมืองปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่บอกให้เขาตามไปที่สถานีตำรวจ แล้วเขาก็ตามไปอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่กลายเป็นว่า ฤทธิรงค์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และซ้อมทรมานให้รับสารภาพว่า เป็นคนกระชากสร้อยทอง เพียงเพราะตำรวจเห็นว่า เขามีรูปพรรณสัณฐานคล้ายผู้ก่อเหตุตัวจริง 15มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, “ห้องสมุดคดี ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร,” https://crcfthailand.org/case-library/rittirong-chuenjit (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
ในการวิเคราะห์ทุนของ ฤทธิรงค์ นั้น มีประเด็นปัญหาตั้งแต่วันเกิดเหตุ คือ กรณีที่ผู้เสียหายอย่าง ฤทธิรงค์ ถูกจับ โดยผลของการถูกตีตราและเหมารวมผ่านลักษณะทางกายภาพว่าเป็นพวกโจร หรือผู้กระทำความผิดกฎหมาย เนื่องจาก ฤทธิรงค์ ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาสอดคล้องตรงมาตรฐานความงามของสังคมไทย สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการขาดซึ่งทุนทางสัญลักษณ์ จนส่งผลให้บุคคลต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมจากการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งหน้าตาและรูปลักษณ์ ดังที่คำพูดเจ้าพนักงานตำรวจนายหนึ่ง กล่าวต่อบิดาของฤทธิรงค์ว่า “ตัวดำ ๆ แบบนี้ ไม่น่าเป็นคนดีหรอก” 16ภาสกร ญี่นาง, “การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่ง ‘หนังหน้า’ ในกระบวนการยุติธรรม,” 1 มกราคม 2566, เดอะโมเมนตัม https://themomentum.co/ruleoflaw-the-beauty-bias/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซ้อมทรมานนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ช่วงแรกของการต่อสู้คดี แม้ว่าเมื่อพิจารณาทุนของครอบครัวฤทธิรงค์ จะสามารถสะสมทุนทางเศรษฐกิจจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว แต่ก็พบว่า พวกเขายังขาดองค์ความรู้ ขาดเครือข่ายทางสังคม รวมถึงสถานภาพทางสังคมที่เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ทำให้เวลานั้น ครอบครัวฤทธิรงค์ต้องสู้คดีตามลำพัง และไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามบ่ายเบี่ยงไม่รับการร้องทุกข์ รวมถึงเมื่อคดีเข้าสู่ชั้นการไต่สวนความจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กระบวนการต้องหยุดชะงักไว้กว่า 6 ปี การติดตามและยื่นหนังสือร้องเรียนที่ทางครอบครัวดำเนินการต่อทุกหน่วยงาน 17สุทธิพัฒน์ กนิษฐกุล, “สมศักดิ์ ชื่นจิตร: บทเรียนตลอด 10 ปีที่ต่อสู้ในฐานะ ‘พ่อของแพะ’,” 26 มิถุนายน 2562, เดอะโมเมนตัม, https://themomentum.co/somsak-cheunjit-interview/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). คำตอบที่ได้ คือ “รอดำเนินการ” โดยไม่มีอะไรคืบหน้า และผลการไต่สวนของ ป.ป.ท. ได้ชี้ว่าไม่มีมูลความผิด ซึ่งพบภายหลังว่ามีขบวนการทำพยานหลักฐานเท็จ เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐ 18ข่าว, “พิพากษารอลงอาญา 2 ปี ผู้บริหาร อปท. แจ้งข้อความเท็จช่วยกลุ่มตำรวจซ้อมทรมาน,” 8 กุมภาพันธ์ 2562, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2019/02/80934 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
ผลการไต่สวนดังกล่าวนั้น เท่ากับว่าช่องทางการเข้าถึงความยุติธรรมที่รัฐมี ถูกปิดประตูลงทันที กระบวนการยุติธรรมโดยรัฐไม่สามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป หนทางเดียวที่หลงเหลืออยู่ ณ ตอนนั้น คือ ครอบครัวฤทธิรงค์จะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลด้วยตนเอง ซึ่งจุดนี้ ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมก็เป็นภาคประชาสังคมที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เป็นการสะสมทุนทางสังคมและอาศัยองค์ความรู้ของทนายความเครือข่าย เพื่อให้การดำเนินคดีมีลู่ทางดำเนินต่อไปได้
วันที่ 10 มิถุนายน 2558 ครอบครัวฤทธิรงค์ โดยความช่วยเหลือทางกฎหมายจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาล แต่ทว่าผลลัพธ์ทางคดีไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเท่าใดนัก กระบวนการพิจารณาใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ปี 9 เดือน ระหว่างนั้นศาลก็พยายามขอไกล่เกลี่ยให้มีการถอนฟ้องเพื่อยุติการดำเนินคดี จนมาถึงวันที่ 28 กันยายน 2561 ศาลจังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษา ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนที่มีส่วนร่วมกับการซ้อมทรมานมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ด้วยวิชาชีพของจำเลยและไม่ปรากฏว่าจำเลย เคยถูกลงโทษมาก่อน ศาลจึงให้รอลงอาญา 2 ปี เท่ากับไม่มีใครได้รับโทษทางอาญาจากเหตุการณ์วันนั้นแม้แต่คนเดียว
ส่วนคดีแพ่ง ครอบครัวฝ่ายผู้เสียหาย ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตัวแห่งชาติ วันที่ 26 พฤษภาคม 2560 คดีนี้ต้องสู้ถึงสามศาล ระยะเวลากระบวนพิจารณาคดีตั้งแต่เริ่มจนถึงคดีถึงที่สุด ใช้เวลาไปกว่า 5 ปี 1 เดือน และศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวฤทธิรงค์ เป็นจำนวน 3.38 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ถึง 10 เมษายน 2564 แล้วลดเหลือร้อยละ 5 ต่อปีจนกว่าจะจ่ายครบ 19ข่าว, “ศาลสั่ง สตช.จ่าย ‘ฤทธิรงค์’ 3.38 ล้าน พร้อมดอกร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีถูกตร.ทรมานเมื่อปี 52,” 29 มิถุนายน 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/06/99296 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
การต่อสู้คดีของครอบครัวฤทธิรงค์ ทำให้ตระหนักถึงสถานการณ์ความยากลำบากที่สามัญชนหรือคนธรรมดาทั่วไปต้องต่อสู้คดีกับผู้อำนาจรัฐ โดยหากปราศจากความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายจากองค์กรภาคประชาสังคม คดีความย่อมยุติลงตั้งแต่ที่ ป.ป.ท. มีผลการไต่สวนความจริงออกมา ประกอบการที่ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางกฎหมาย และเครือข่ายทางสังคม หรือ “เส้นสาย” ฝ่ายครอบครัวฤทธิรงค์ จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาแต่ต้น ต่างจากอีกฝ่ายที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย และเป็น “ข้าราชการ” เหมือนกัน ทำให้มีขบวนการให้ความช่วยเหลือเพื่อปกป้องกันและกันตามมา
อีกแง่หนึ่ง อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า การที่คดีความดำเนินไปจนถึงที่สุดได้ นอกจากหัวใจความเป็นนักสู้ไม่สยบยอมต่อความอยุติธรรม ส่วนหนึ่งอาจมาจากกรณีที่ฝ่ายครอบครัวฤทธิรงค์ สามารถสะสมทุนทางเศรษฐกิจได้จำนวนหนึ่ง ทำให้ยังคงมีแรง มีกำลัง ขับเคลื่อนตัวเองให้แสวงหาความยุติธรรมได้ตลอดระยะเวลา 13 ปี ซึ่งแตกต่างจากอีกหลายคดีที่ผู้เสียหายขาดไร้ทุนทางเศรษฐกิจ ทำให้คดีความต้องยุติลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มกระบวนการพิจารณา ผ่านขั้นตอนการเจรจาไกล่เกลี่ย ด้วยการรับมอบเงินเยียวยาเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี

กรณีศึกษาที่ 3: คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม
กรณีศึกษาคดีนี้จะเผยให้เห็นถึง ความพยายามในการสะสมทุนทุกด้านของผู้เสียหายที่ต้องมาต่อสู้คดีกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้มีอำนาจ รวมทั้งตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของทุนบางลักษณะที่ขาดไปไม่ได้ในการดำเนินคดีเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยข้อเท็จจริงของคดีนี้เกี่ยวกับกรณีที่พลทหารวิเชียร เผือกสม เสียชีวิต เนื่องมาจากการถูกทำร้ายและทรมานโดยกลุ่มครูฝึกระหว่างการฝึกทหารใหม่ ในค่ายทหารกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554 20มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, “ห้องสมุดคดี วิเชียร เผือกสม,” https://crcfthailand.org/case-library/wichian-puaksom สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตต้องพบกับอุปสรรคมากมายในระหว่างการดำเนินกระบวนการยุติธรรมในทุก ๆ ขั้นตอน
การดำเนินคดีความเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรก คือ การฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่ง ซึ่งยุติลงด้วยการเจรจาทำสัญญาประนีประนอมในชั้นศาล และศาลได้พิพากษาให้คดีความเสร็จเด็ดขาดไปเมื่อปี 2557 21พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์, “หนึ่งความตายเพื่อรักษาหลายชีวิต : 10 ปี คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม,” 9 ธันวาคม 2564, เดอะแมตเตอร์, https://thematter.co/social/talk-with-narisaraval-kaewnopparat/162297 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). แต่ในส่วนของคดีอาญา พบว่า กระบวนการยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลทหาร แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมามากกว่า 1 ทศวรรษแล้วก็ตาม 22ข่าว, “23-25 พ.ย. 65 ศาลทหารนัดสืบพยานโจทก์ กรณี ‘พลทหารวิเชียร เผือกสม’ ถูกซ้อมจนเสียชีวิตในค่ายทหารเมื่อ 11 ปีก่อน,” 23 พฤศจิกายน 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/11/101551 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
อุปสรรคในคดี ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ หลังเกิดเหตุ โดยฝ่ายกองทัพพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย ขอยุติเรื่องราว และเสนอว่าจะให้เงินชดเชยเยียวยาจำนวน 3 ล้านบาท พร้อมกับจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพให้ ดังที่มีอดีตนายทหารคนหนึ่งมาคุยกับแม่ของพลทหารวิเชียร พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้ญาติเดินเรื่องร้องเรียน “คนตายไปแล้ว…ควรคิดถึงคนที่มีชีวิตอยู่มากกว่า ร้องเรียนไปก็เท่านั้น มีแต่เสียกับเสีย แล้วเป็นแค่ชาวนาจะเอาปัญญาอะไรไปสู้กับเขา…” แต่ญาติไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก จึงเริ่มทำการร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย 23มติชน, 17 มิถุนายน 2554, 12. ซึ่งผลก็คือ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารส่งคนมาคอยติดตามและคุกคามความเป็นส่วนตัวอยู่เป็นประจำ รวมถึงมีการส่งลูกกระสุนปืนมาที่บ้านเพื่อเป็นการข่มขู่ 24กองบรรณาธิการวอยซ์ทีวี, “ญาติพลทหารวิเชียร ย้ำไม่ยอมให้เรื่องเงียบ,” 4 พฤศจิกายน 2558, วอยซ์ออนไลน์, https://www.voicetv.co.th/read/280869 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
นอกจากนี้ เนื่องจากเจ้าพนักงานสอบสวนตั้งข้อหากลุ่มครูฝึกที่มีส่วนทำให้พลทหารวิเชียรเสียชีวิตฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ทำให้ต้องส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ท. ดำเนินการไต่สวนในเดือนมิถุนายน 2555 ทำให้ระยะเวลาล่วงเลยไปอีก 3 ปี ก่อนที่จะมีการชี้มูลความผิดนายทหารจำนวน 9 คนช่วงเดือนกรกฎาคม 2558 และส่งเรื่องไปยังอัยการทหารต่อไป โดยระหว่าง 3 ปีนั้น ทางญาติของพลทหารวิเชียรก็พยายามเร่งรัดไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่กลับไม่มีผลความคืบหน้าใด ๆ
จากนั้น คดีความ ต้องติดอยู่ในชั้นอัยการทหารจนถึงวันที่ศาลทหารประทับรับฟ้องอีก 6 ปี (ศาลประทับรับฟ้องวันที่ 30 กันยายน 2564) การพิจารณาคดีดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี 2566 ที่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการสืบพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งเท่ากับว่า นับแต่วันเกิดเหตุ ผ่านมากว่า 12 ปี ยังไม่ปรากฏว่ามีใครคนใดต้องรับผิดจากกรณีที่ทำให้พลทหารวิเชียรเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว 25อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ นริศราวัลย์ แก้วนพรัตน์ หลานของพลทหารวิเชียร อันเป็นส่วนหนึ่งจากเนื้อหางานวิจัยเรื่อง “วิสามัญมรณะ: ปฏิบัติการของระบบกฎหมายและการต่อสู้ของผู้ตกเป็นเหยื่อ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี 2565
เมื่อวิเคราะห์ทุนที่ญาติของพลทหารวิเชียรถือครองที่มีตั้งแต่ทุนทางเศรษฐกิจ มีเครือข่ายทางสังคม มีความสามารถเข้าถึงติดต่อผู้มีอำนาจและนายทหารระดับสูงของกองทัพได้ พร้อมกับได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากองค์กรภาคประชาสังคม และจากกรณีที่ได้ต่อสู้คดีมาตั้งแต่สมัยที่มีสถานะเป็นนิสิตนักศึกษา มาจนถึงเป็นข้าราชการ ยังมีส่วนช่วยในการขยายเครือข่ายทางสังคมมากขึ้น ตลอดจนพลังของสื่อมวลชนที่เข้ามานำเสนอเรื่องราวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ล้วนมีส่วนเสริมให้ภาพลักษณ์ของญาติ เป็น “นักต่อสู้” ผู้ไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม ทั้งหมดล้วนช่วยส่งเสริมให้คดีความดำเนินมาได้ไกลถึงการพิจารณาในศาลทหาร ซึ่งไกลกว่าคดีอื่น ๆ ที่ญาติหรือครอบครัวของเหยื่อไม่สามารถสะสมทุนด้านต่าง ๆ ได้มากพอ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า แม้ญาติของพลทหารวิเชียร จะสามารถสะสมทุนทุกด้าน เพื่อเสริมศักยภาพในการขยับเข้าใกล้กับความยุติธรรมได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ความยุติธรรมบรรลุผลออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านมานานกว่าหนึ่งทศวรรษ ซึ่งตอกย้ำว่า การดำเนินกระบวนการยุติธรรมเพื่อจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอำนาจที่กระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนได้สำเร็จ ประชาชนและญาติของเหยื่อจำเป็นต้องสะสมทุนให้มากกว่านี้

สิ่งที่เหยื่อต้องจ่าย เพื่อแลกกับความยุติธรรม
จากกรณีศึกษาที่ยกขึ้นมากล่าวถึง สะท้อนภาพชัดเจนว่า การดำเนินกระบวนการยุติธรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายประชาชนผู้กระทำการต้องอาศัยทุนหลากหลายด้าน และทุนที่สำคัญ คือ ระบบ “เส้นสาย” หรือการยกระดับสถานภาพทางสังคมของตน ให้ต้องเป็นมากกว่าสามัญชนคนธรรมดา และหากยิ่งเป็นกลุ่มประชากรเปราะบาง เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ขาดไร้ซึ่งทุน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสัญลักษณ์ ความยุติธรรมย่อมเป็นเรื่องห่างไกล และมีโอกาสบรรลุผลน้อยมาก
นอกจากความจำเป็นในการสะสมทุนเพื่อการต่อสู้คดีความ ยังพบอีกว่า ประชาชนต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง หลายคนต้องสูญเสียโอกาส เสียเวลาอันมีเวลา เสียช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิต เช่น กรณีครอบครัวและญาติชัยภูมิที่ต้องย้ายออกจากหมู่บ้านเดิมและเข้าไปยังตัวเมือง เป็นเวลากว่า 3 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ เนื่องจากการเลือกต่อสู้คดีทำให้พวกเขาต้องถูกเจ้าหน้าที่ทหารติดตามและคุกคามอยู่เป็นประจำ โดยการย้ายออกจากหมู่บ้าน ส่งผลให้ลูกหลานต้องออกจากโรงเรียนและไม่ได้รับการศึกษาอีกเลย พร้อมกันนั้นยังถูกคนในชุมชนตัดขาดความสัมพันธ์ กลายเป็นเพียงครอบครัวที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว 26ภาสกร ญี่นาง, “ก้าวสู่ปีที่ 6 คดี “ชัยภูมิ ป่าแส” เสียงของ “เหยื่อ” เมื่อกระสุนหนึ่งนัดทำลายมากกว่าหนึ่งชีวิต,” 11 มกราคม 2566, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, https://crcfthailand.org/2023/01/11/chaiyaphum-pasae-6-year/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
เช่นเดียวกัน ครอบครัวของฤทธิรงค์ที่แม้ว่าจะชนะคดีแพ่งเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทว่า หากเทียบกับเงินทองและเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับกระบวนการพิจารณาที่ล่าช้า อาจไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก เพราะสุดท้าย ธุรกิจส่วนตัวของครอบครัวต้องปิดกิจการ เนื่องจากการต้องเดินทางติดตามและต่อสู้คดีตลอดเวลา ส่วนตัวของฤทธิรงค์ ต้องเผชิญกับโรค PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder โรคจิตเภทชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจ ภายหลังที่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย ซึ่งเป็นโรคที่ไม่มีทางหาย การดูแลที่ดีที่สุด คือ ฤทธิรงค์ต้องได้รับการเยียวยาจากคนรอบข้าง ป้องกันไม่ให้กลับไปหวนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น แต่ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะต้องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม 27สุทธิพัฒน์ กนิษฐกุล, “สมศักดิ์ ชื่นจิตร: บทเรียนตลอด 10 ปีที่ต่อสู้ในฐานะ ‘พ่อของแพะ’,” 26 มิถุนายน 2562, เดอะโมเมนตัม, https://themomentum.co/somsak-cheunjit-interview/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
การต้องต่อสู้กับ PTSD ยังส่งผลทำให้ ฤทธิรงค์ต้องยุติการเข้ารับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น และหยุดที่วุฒิมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 เท่านั้น และต้องเลิกทำงานอดิเรก ต้องหยุดเล่นดนตรี แม้ครั้งหนึ่งจะเคยเข้าแข่งขันระดับประเทศก็ตาม เพราะสภาพจิตใจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 28อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ ชื่นจิตร (บิดา) อันเป็นส่วนหนึ่งจากเนื้อหางานวิจัยเรื่อง “วิสามัญมรณะ: ปฏิบัติการของระบบกฎหมายและการต่อสู้ของผู้ตกเป็นเหยื่อ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี 2565
ส่วนการต่อสู้คดีของญาติพลทหารวิเชียร เผือกสม การต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรม ทำให้บุคคลคนหนึ่งต้องสูญเสียความสุขและความสนุกสนานในชีวิตวัยรุ่นไปจนสิ้น ต้องใช้เวลา 1 ใน 3 ของอายุขัย มาทวงถามหาความยุติธรรมให้กับคนในครอบครัว ระหว่างการติดตามคดีความทั้งหน่วยงานต้นสังกัดของคู่กรณีและหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความยุติธรรม นอกจากนั้น ในช่วงที่ต้องสะสมทุน เสริมศักยภาพในการต่อสู้ ด้วยการขยายเครือข่ายทางสังคม ค้นหาคนมาช่วยหนุนหลัง เผยแพร่ข่าวสาร ก็ต้องแลกมาด้วยการต้องตกอยู่สภาวะที่ไม่ปลอดภัย การถูกกลั่นแกล้งจากคู่กรณี
การเอาผิดกับผู้กระทำความรุนแรงที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สำหรับสามัญชนทั่วไปย่อมเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ดังที่ญาติของพลทหารวิเชียร เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า 29พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์, “หนึ่งความตายเพื่อรักษาหลายชีวิต : 10 ปี คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม,” 9 ธันวาคม 2564, เดอะแมตเตอร์, https://thematter.co/social/talk-with-narisaraval-kaewnopparat/162297 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566). “การถามหาความยุติธรรมในประเทศนี้ โดยเฉพาะเมื่อคู่กรณีเป็นคนในเครื่องแบบ แถมบางรายยังมีบุพการีเป็นผู้มียศใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญยังมีราคาที่ต้องจ่าย”
เรื่องราวทั้งหมด ตอกย้ำ รูปร่างหน้าตาของระบบกฎหมายและกลไกกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดความยึดโยงกับประชาชน หากเป็นกรณีที่ต้องจัดการกับความขัดแย้งหรือคดีความที่ประชาชนต้องผิดกับคู่กรณีที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กลไกเชิงสถาบันและผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายก็มักพร้อมที่จะปกป้องคุ้มครองฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ในฐานะ “ข้าราชการ” ด้วยกัน
การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนต้องอาศัยการสะสมทุนจำนวนมาก และอาจต้องสูญเสียโอกาสหรือสิ่งที่ค่าทั้งหลายในชีวิต สำหรับระบบกฎหมายไทย การสร้างสถานภาพทางสังคม รวมถึงระบบเส้นสาย เพื่อยกระดับอำนาจของตนเองให้ทัดเทียมกับคู่กรณีที่เป็นคนในเครื่องแบบและมีทุนอยู่อย่างมหาศาลมาตั้งแต่ต้น เพราะโดยพื้นฐานแล้ว หลักความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายในรัฐไทย ยังคงถูกตั้งถามถึงความมีอยู่จริง และในความเป็นจริง ก็ราวกับว่า ความยุติธรรมจะสามารถบังเกิดได้เฉพาะผู้ที่มีสถานะสูงส่ง มีทุนทางเศรษฐกิจและบุญบารมีมากพอ
ตรงกันข้าม หากประชาชนผู้ถามหาความยุติธรรม มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่ำ หรือมีสถานภาพด้อยกว่า ไร้ซึ่งอำนาจและทุน ขาดความรู้ทางกฎหมาย ไม่มีเส้นสายหรือเครือข่ายกับฝ่ายอำนาจรัฐ ทั้งยังถูกตีตราให้มีความเชื่อมโยงกับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ความยุติธรรมย่อมเป็นเรื่องที่ยากและห่างไกล สำหรับสังคมไทย ความยุติธรรมจึงไม่สามารถมีให้ได้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม
- 1Bourdieu, P., The Forms of Capital in Halsey, A.H., H. Lauder, P. Brown and A.S. Wells (eds). (Oxford: Oxford University Press. 1997), 46 – 75.
- 2รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข, มโนทัศน์ชนชั้นแลทุนของ ปิแอร์ บูร์ดิเออ, วารสารเศรษฐศาสตร์การเมืองบูรพา, 2 ฉ.1 (2557), 39
- 3Ostrom, E., Social capital: A fad or a fundamental concept? In P. Dasgupta & I. Serageldin (Eds.), Social Capital: A multifaceted perspective. (Washington, DC: World Bank. 2000), 176
- 4Chevalier, S. and Chauviré, C., Dictionnaire Bourdieu. (Paris: Ellipses, 2010), 18 – 19 อ้างใน ฐานิดา บุญวรรโณ, ความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์หลักของปิแอร์ บูร์ดิเยอ, วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 18 ฉ.1 (2565), 16.
- 5ฐานิดา บุญวรรโณ, เรื่องเดียวกัน, 16.
- 6รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข, เรื่องเดียวกัน, 40 – 41.
- 7ฐานิดา บุญวรรโณ, เรื่องเดียวกัน, 16.
- 8Kevin M. Beaver, Cashen Boccio, Sven Smith, and Chris J. Fergusond, Physical attractiveness and criminal justice processing: results from a longitudinal sample of youth and young adults, Psychiatr Psychol Law. 2019; 26(4): 669–681.
- 9Rhode, D., The Beauty Bias: The Injustice of Appearance in Life and Law, (New York: Oxford University Press, 2010)
- 10นักข่าวพลเมือง, “เปิด Timeline จากปากคำชาวกองผักปิ้ง วัน ชัยภูมิ ป่าแส ถูกทหารวิสามัญฯ,” 29 มีนาคม 2560, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2017/03/70800 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 11บีบีซีไทย, “รายงาน: หนึ่งเดือน คดีวิสามัญ “ชัยภูมิ ป่าแส” กับปมปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย,” 17 เมษายน 2560, บีบีซีไทย, https://www.bbc.com/thai/thailand-39619396 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 12ข่าว, “คดีวิสามัญฯ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ทนายผิดหวังคำสั่งไต่สวนการตายของศาล-เตรียมจัดเวทีวิชาการใหญ่,” 6 มิถุนายน 2561, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2018/06/77311 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 13ข่าว, “ครอบครัว ‘ชัยภูมิ ป่าแส-อะเบ แซ่หมู่’ ฟ้องแพ่งให้กองทัพบกชดใช้กรณีวิสามัญฯ,” 22 พฤษภาคม 2562, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2019/05/82576 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 14ข่าว, “ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีวิสามัญ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’-กองทัพบกไม่ต้องจ่ายเงินเยียวยาแก่ครอบครัว,” 26 มกราคม 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/01/96974 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 15มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, “ห้องสมุดคดี ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร,” https://crcfthailand.org/case-library/rittirong-chuenjit (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 16ภาสกร ญี่นาง, “การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่ง ‘หนังหน้า’ ในกระบวนการยุติธรรม,” 1 มกราคม 2566, เดอะโมเมนตัม https://themomentum.co/ruleoflaw-the-beauty-bias/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 17สุทธิพัฒน์ กนิษฐกุล, “สมศักดิ์ ชื่นจิตร: บทเรียนตลอด 10 ปีที่ต่อสู้ในฐานะ ‘พ่อของแพะ’,” 26 มิถุนายน 2562, เดอะโมเมนตัม, https://themomentum.co/somsak-cheunjit-interview/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 18ข่าว, “พิพากษารอลงอาญา 2 ปี ผู้บริหาร อปท. แจ้งข้อความเท็จช่วยกลุ่มตำรวจซ้อมทรมาน,” 8 กุมภาพันธ์ 2562, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2019/02/80934 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 19ข่าว, “ศาลสั่ง สตช.จ่าย ‘ฤทธิรงค์’ 3.38 ล้าน พร้อมดอกร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีถูกตร.ทรมานเมื่อปี 52,” 29 มิถุนายน 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/06/99296 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 20มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, “ห้องสมุดคดี วิเชียร เผือกสม,” https://crcfthailand.org/case-library/wichian-puaksom สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 21พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์, “หนึ่งความตายเพื่อรักษาหลายชีวิต : 10 ปี คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม,” 9 ธันวาคม 2564, เดอะแมตเตอร์, https://thematter.co/social/talk-with-narisaraval-kaewnopparat/162297 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 22ข่าว, “23-25 พ.ย. 65 ศาลทหารนัดสืบพยานโจทก์ กรณี ‘พลทหารวิเชียร เผือกสม’ ถูกซ้อมจนเสียชีวิตในค่ายทหารเมื่อ 11 ปีก่อน,” 23 พฤศจิกายน 2565, ประชาไท, https://prachatai.com/journal/2022/11/101551 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 23มติชน, 17 มิถุนายน 2554, 12.
- 24กองบรรณาธิการวอยซ์ทีวี, “ญาติพลทหารวิเชียร ย้ำไม่ยอมให้เรื่องเงียบ,” 4 พฤศจิกายน 2558, วอยซ์ออนไลน์, https://www.voicetv.co.th/read/280869 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 25อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ นริศราวัลย์ แก้วนพรัตน์ หลานของพลทหารวิเชียร อันเป็นส่วนหนึ่งจากเนื้อหางานวิจัยเรื่อง “วิสามัญมรณะ: ปฏิบัติการของระบบกฎหมายและการต่อสู้ของผู้ตกเป็นเหยื่อ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี 2565
- 26ภาสกร ญี่นาง, “ก้าวสู่ปีที่ 6 คดี “ชัยภูมิ ป่าแส” เสียงของ “เหยื่อ” เมื่อกระสุนหนึ่งนัดทำลายมากกว่าหนึ่งชีวิต,” 11 มกราคม 2566, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, https://crcfthailand.org/2023/01/11/chaiyaphum-pasae-6-year/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 27สุทธิพัฒน์ กนิษฐกุล, “สมศักดิ์ ชื่นจิตร: บทเรียนตลอด 10 ปีที่ต่อสู้ในฐานะ ‘พ่อของแพะ’,” 26 มิถุนายน 2562, เดอะโมเมนตัม, https://themomentum.co/somsak-cheunjit-interview/ (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).
- 28อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ ชื่นจิตร (บิดา) อันเป็นส่วนหนึ่งจากเนื้อหางานวิจัยเรื่อง “วิสามัญมรณะ: ปฏิบัติการของระบบกฎหมายและการต่อสู้ของผู้ตกเป็นเหยื่อ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี 2565
- 29พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์, “หนึ่งความตายเพื่อรักษาหลายชีวิต : 10 ปี คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม,” 9 ธันวาคม 2564, เดอะแมตเตอร์, https://thematter.co/social/talk-with-narisaraval-kaewnopparat/162297 (สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2566).