16 ม.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ณ ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร นัดฟังคำสั่งศาลฎีกา ในคดีที่นางปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส (โจทก์) ฟ้องกองทัพบก (จำเลย) เพื่อเรียกเงินค่าเสียหายเมื่อปี 2562 เนื่องจากที่นายชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2565 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีนี้ โดยเห็นด้วยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่า ทำให้เชื่อได้ว่าการฆาตกรรมชัยภูมิเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของพลทหาร เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตัวเองให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย และภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัว ทั้งได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการละเมิดต่อมารดาของนายชัยภูมิ เป็นผลให้กองทัพบก ไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายแก่นางปอย ป่าแส
อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และองค์กร Protection International (PI) ยังคงตั้งข้อสังเกตหลายประการต่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ จึงยื่นคำร้องขอฎีกาคำพิพากษา และจะสู้คดีให้ถึงที่สุด
คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ตรวจค้นยานพาหนะนายชัยภูมิ ป่าแส (ชาติพันธุ์ลาหู่) ที่ขับรถยนต์เดินทางพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน ผ่านด่านตรวจดังกล่าว ก่อนที่นายชัยภูมิ จะถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่านายชัยภูมิพยายามขัดขืน และทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธมีด และระเบิดขว้างสังหาร จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนนายชัยภูมิเพื่อป้องกันตนเอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังกล่าวหาว่าพบยาบ้าเป็นจำนวน 2,800 เม็ด ซ่อนอยู่ในหม้อกรองน้ำของรถยนต์ของนายชัยภูมิอีกด้วย
“…จริงๆ แล้วผมคิดว่ากระบวนการนี้มันไกลกับคนดอยครับ… จริงนะ ระบบศาลมันไกลเกินสำหรับคนดอยที่จะได้รับความชอบธรรม ผมเนี่ยถือว่าไปได้ไกลแล้ว ถ้าเทียบกันกับทุกคนในชุมชนนี้ ถ้าเจอคนอื่นที่ไม่รู้จักเครือข่าย ไม่มีทางเอาตัวรอดได้เลย ตั้งแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเวลาผมเจอข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ว่าถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญผมจะรู้สึกโกรธ ผมไม่เชื่อทันทีเลยว่านั่นคือยา
ทุกครั้งก็ยาตลอด แล้วผมก็เลยรู้ว่า เจ้าหน้าที่เขาทำแบบนี้นี่เอง ความชอบธรรมที่เราดูข่าวทุกวันนี้ว่าถูกยิงถูกจับเพราะยาเนี่ย เอาจริงๆ ชาวบ้านเขาก็ไม่กล้าเป็นพยาน ไม่อยากออกมามีส่วนร่วม…นี่ขนาดผมเป็นอาจารย์สอนศาสนายังกลัวเลย ถ้าเป็นชาวบ้านที่ยังไม่เจออะไรเขาก็กลัว นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่สู้” บทสัมภาษณ์ของไมตรี จำเริญสุขสกุล พี่ชายผู้ดูแลชัยภูมิ
นับเป็นเวลากว่า 6 ปีที่ครอบครัวของนายชัยภูมิ ป่าแสต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปตลอดกาล เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการตั้งคำถามจากครอบครัว และสังคมเป็นวงกว้างต่อการเสียชีวิตของเยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้เป็นความหวัง และความฝันของครอบครัวและกลุ่มคนชาติพันธุ์ ที่ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าเศร้าเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ และยังไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างใด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชน และผู้ที่สนใจ ติดตามรับฟังคำสั่งศาลฎีกาในนัดดังกล่าว เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้แก่นายชัยภูมิ ป่าแส ต่อไป