[:th]CrCF Logo[:]
[:th]18 ปีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร[:]

“เรื่องเล่าจากลูก ถึงพ่อ” กับวันครบรอบ 18 ปีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร – มูลนิธิกระจกเงา

Share

“ปีแรกที่พ่อหายไป เราบอกตัวเองว่า จะไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขถ้ายังไม่เจอ พ่อ มันคือความตรอมใจนะ บอกตัวเองว่าเราจะไม่ยอมมีความสุขอีกต่อไปแล้ว ‘อย่าได้ไปมีความสุขนะ เธอไม่มีสิทธิ’ เราเตือนตัวเองแบบนั้นเลย”

 
“เราเคยสัญญากับพ่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้พ่อกลับมาคุยกันที่บ้าน ตอนนั้นพ่อไปทำคดีนึง มันอันตราย พ่อเริ่มแสดงท่าทางกังวลด้วยท่าทางแปลกๆ เอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไว้ตลอด แล้วพ่อก็ไม่ได้กลับบ้านหลายวัน ก่อนสองทุ่มของวันนั้นพ่อโทรมาหา เราเห็นว่าเป็นเบอร์พ่อนะ แต่เราเลือกจะไม่รับ เพราะคิดว่าพ่อสัญญากันแล้วไง ว่าเกิดอะไรขึ้นพ่อจะกลับบ้าน เราเลยไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ อยากให้พ่อกลับมาคุยกับเราที่บ้าน
 
“จนวันรุ่งขึ้น มีคนมาบอกข่าวว่าพ่อหายตัวไป เราก็มาเปิดโทรศัพท์ดู ปรากฏว่าหลังจากเราไม่รับสาย พ่อส่งข้อความมาหา “กินข้าวรึยัง คิดถึงนะ” หัวใจเราแตกสลายเลย”
 
“จริงๆ เรื่องพ่อถูกคุกคาม เรารับรู้มาบ้างตั้งแต่เด็กๆ ช่วงเรียนประถม มีวันนึงออกจากโรงเรียนช้าผิดเวลา แม่มารอรับหน้าโรงเรียนแล้วพูดว่า “ทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรเลย รู้มั้ยว่าพ่อโดนขู่ฆ่า” ขนาดแม่เป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง ไม่บอกอะไรง่ายๆ แต่วันนั้นแม่บอกให้เรารู้ ก็ตกใจมาก แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อเพราะเรายังเด็กมาก”
 
“ตอนเราเด็กๆ พ่อชอบฟังเพลงลูกทุ่ง ทำให้เราชอบฟังเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ไปด้วย พ่อเคยบอกว่า ชอบนักร้องผู้หญิงที่สู้ชีวิต วันนึงพ่อฟังรายการวิทยุ ที่ ‘อาภาพร นครสวรรค์’ มาให้สัมภาษณ์ พ่อบอกว่าชอบ เพราะเธอสู้ชีวิต ร้องเพลงมานาน ออกอัลบั้มที่ 9 ถึงค่อยดังมีชื่อเสียง เวลาฟังเพลง พ่อไม่ได้ฟังแต่เนื้อเพลงที่ร้อง แต่พ่อจะติดตามเรื่องราวการสู้ชีวิตของนักร้องคนนั้นด้วย”
 
“คงคล้ายกับตัวพ่อ ที่พ่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก พ่อมีปมเรื่องเรียนไม่เก่ง แต่พ่อพยายามสู้ กว่าพ่อจะจบทนายมา ต้องท่องหนังสือเยอะมาก แล้วชีวิตไม่ได้สบาย พ่อเกิดในครอบครัวยากจน ต้องทำงาน ลำบาก แต่พยายามเรียน ท่องจำตัวหนังสือทุกอย่าง คือเรียนก็ไม่เก่ง แล้วไม่ใช่คนรวย แต่พ่อเป็นคนพยายาม”
 
“พ่อเป็นพ่อแบบสมัยก่อน เลี้ยงลูกแบบลูกทุ่ง โกรธก็ตี ใช้อารมณ์ ดุเสียงดัง แต่พอตี พอด่า แล้วก็มาโอ๋ลูก ต่างจากแม่ ที่แม่จะไม่ตีแต่จะใช้เหตุผลคุยกัน เราชอบอยู่กับพ่อนะ แม้ว่าพ่อจะดุมาก เพราะเวลาที่เราต้องการกำลังใจ พ่อก็เป็นคนที่ให้กำลังใจถึงที่สุดเช่นกัน ทุกครั้งที่เข้าไปกอดพ่อ พ่อจะกอดเราแรงกลับเป็นเท่าตัว เรากอดพ่อแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทุกครั้งที่เรากอดจะมั่นใจได้เลยว่าพ่อจะรับอ้อมกอดและส่งพลังกลับมาให้เรา”
 
“ถึงพ่อจะดุแต่พ่อเป็นคนน่ารัก พ่อรักครอบครัวมาก เป็นคนอยู่ติดบ้าน เป็นผู้ชายที่ไม่สังสรรค์ ถ้าเรื่องงานก็จะไปกับกลุ่มเพื่อนทนาย แต่ถ้าวันหยุด พ่อจะอยู่กับเราไม่ไปไหน และค่อนข้างติดคนในบ้าน พ่อเป็นคนขี้เหงานะ เวลาเขานั่งทำงานกลางคืน คนอื่นจะขึ้นบ้าน พ่อมักบอกเราให้อยู่เป็นเพื่อนพ่อก่อน เสียใจว่า ตอนนั้นพ่ออยากมีคนอยู่เป็นเพื่อน พ่อคงรู้สึกโดดเดี่ยว แต่เรากลับไม่ได้นึกถึง”
 
“เราไม่รู้ว่าพ่อไปเจออะไรมาบ้าง เพิ่งมาคิดย้อนหลังว่า พ่อไปเจอเรื่องถูกข่มขู่ เรื่องความเสี่ยงมา เรามาเข้าใจพ่อตอนที่โตแล้ว ได้เรียนรู้มากขึ้น และเข้าใจมากขึ้นหลังจากพ่อหายไปแล้ว พ่อเป็นคนอ่อนไหว ต้องการกำลังใจ ตอนที่เขาขึ้นพูด หรือเขียนบทความ พ่อจะถามเรา ว่าดีมั้ย เราก็จะให้ความเห็นกลางๆ แต่จริงๆ เราอวยพ่อเราอยู่แล้ว นั่นแสดงว่าพ่อต้องการกำลังใจ”
 
“พ่อรักงาน สนุกกับงาน คดีที่ท้าทายพ่อจะพุ่งลงไป ใส่ความสามารถเขาลงไปเลย พ่อเป็นผู้ชายแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องของคนดี แต่เป็นเรื่องของคนๆ นึง ที่ต้องการทำงานที่ท้าทาย สิ่งที่เราเหมือนพ่อก็คือ เชื่อมั่นว่าเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้ต้องการภาพพจน์คนดี พ่อไม่ชอบแบบนั้น พ่อกล้าบอกว่าเราไม่ใช่คนดี เพราะเรามีทั้ง ด้านดีและด้านไม่ดี แค่เราทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมืออาชีพ”
 
“เราคิดว่าการที่ยกย่องใครคนนึงว่า “คนดี” มันทำให้ละเลยรายละเอียดปัญหาที่ชีวิตเขาเคยเจอมา ละเลยอุปสรรค การดูถูก ความยากลำบาก โครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม มันถูกกลืนไปหมดเลย มองแต่ภาพที่ว่า พ่อเป็นทนายความที่ดีแล้วถูกอุ้มหายไป แบบนั้นมันไม่ใช่แนวทางการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
 
“และสุดท้าย มันจะทำให้ เวลาคนธรรมดา คนอื่นหายตัวไปบ้าง สังคมอาจไม่ใส่ใจ มันทำให้การหายของทนายสมชายไม่มีคุณค่าอะไรเลย เพราะว่าไม่ได้ทำให้คนหายรายอื่นๆ ได้รับการแก้ไขปัญหา คนหายทุกคน ย่อมมีใครสักคนรักเขา ต่อให้เขาจะเป็นคนไม่ดี หายไปเอง เดินออกจากบ้านด้วยตัวเอง แต่ต้องมีใครสักคนที่รักเขา อยากให้เขากลับบ้าน”
 
“ตอนนี้เราเริ่มอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้บ้างแล้ว เพราะเรามีความมั่นใจมากขึ้น หลังๆ เริ่มมีความรู้สึกว่าพ่ออยู่ในตัวเรา เรามีสายเลือดของพ่ออยู่ในตัวเรา คดีพ่อสู้กันถึงฎีกา สุดท้ายศาลฎีกายกฟ้อง จำเลยก็ยินดีปรีดา เราเห็น แต่ไม่ได้โกรธในฐานะตัวบุคคล”
 
“แต่เจ็บใจที่ยังไม่มีกฎหมายที่ระบุว่าการอุ้มหาย เป็นอาชญากรรม ไม่เกิดการศึกษาเงื่อนไขทางสังคมอะไรที่ทำให้คนถูกอุ้มหายไป มีเงื่อนไขอะไรที่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือใครก็ตามทำสิ่งนี้ได้ และหากสังคมไทยยังเชียร์ให้ประหารผู้ต้องสงสัย ที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการพิสูจน์ตัวเอง การหายไปของคุณสมชาย ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”
 
“คิดถึงพ่อทุกวันของชีวิต ไม่เคยลืมเลย เห็นข้าวของต่างๆ ก็ยังนึกถึงเขา ในโทรศัพท์ก็ยังตั้งหน้าจอเป็นรูปพ่อยิ้ม ใครจะไม่พูดถึงพ่อก็ไม่เป็นไร แต่เราเป็นลูก เราจะต้องไม่ลืมเขา เราจะต้องไม่ทำให้เขาหายไปจากความทรงจำ และยังคงจะหาคำตอบว่าพ่อเราหายไปไหน”
 
“เราเคยขอพรกับพระเจ้านะ ว่าก่อนที่เราจะไม่มีลมหายใจ ขอให้รู้ว่าพ่อหายไปไหน”
 
ประทับจิต นีละไพจิตร ลูกสาว
 
ทนาย สมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547
พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบ 18 ปีเต็มที่ทนายสมชายหายตัวไป