[:th]CrCF Logo[:]

ศาลแขวงดุสิต นัดสืบพยานวรชาติ-พรเพ็ญ เมย. 66 คดีถูกฟ้องสี่ข้อหา หลังร่วมเสวนางาน “รำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหาย”

Share

ศาลแขวงดุสิต นัดสืบพยานวรชาติ อหันทริก และ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เดือน เมษายน 2566 คดีถูกฟ้องสี่ข้อหา หลังเข้าร่วมเสวนางานรำลึกถึงผู้ถูกบังคับสูญหาย

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค. 2565) เวลา 10.00 น. ศาลแขวงดุสิต กรุงเทพมหานคร ได้มีการนัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิฯ นัดสอบคำให้การ และนัดตรวจพยานหลักฐานภายในนัดเดียว ในคดีอาญา หมายเลขคดี อ.703/2565 หรือคดีที่ นางสาว พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ นาย วรชาติ อหันทริก สองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเด็นการทรมาน-อุ้มหาย ตกเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันกระทำผิด พ.ร.บ. การจราจรทางบก, พ.ร.บ. เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ. ความสะอาด และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

โดยนักปกป้องสิทธิฯ ทั้งสองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และภายหลังจากที่ได้มีการตรวจสอบพยานหลักฐานของโจทก์ และจำเลยแล้ว ศาลแขวงดุสิตได้นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 6 ปาก พยานจำเลยจำนวน 7 ปากในวันที่ 19-20 และ 26-27 เม.ย. 2566

คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2564 นายวรชาติ และนางสาวพรเพ็ญ ได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรในกิจกรรม “คืน-ยุติธรรม รำลึกผู้ถูกบังคับสูญหาย” ที่จัดโดย กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ข้างทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่ขับเคลื่อนในประเด็นการทรมาน อุ้มหาย และพลักดัน พ.ร.บ. ป้องกัน และปราบปรามการบังคับบุคคลให้สุญหาย พ.ศ…. มาเป็นระยะเวลานาน นั้น

หลังกิจกรรมเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวน สน. นางเลิ้งและพนักงานอัยการกลับมีความเห็นสั่งฟ้องเป็นคดีอาญา หมายเลขคดี อ.703/2565 อีกด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้วรชาติ และพรเพ็ญ ได้พยายามยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และขอศาลไต่สวนมูลฟ้องเพราะเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีการฟ้องปิดปาก (SLAPPs) เพื่อกลั่นแกล้งนักกิจกรรมทางการเมืองที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริตตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ แต่ความพยายามในการเรียกร้องก็ไม่เป็นผล

นางสาวพรเพ็ญ เห็นว่า “การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. นางเลิ้งที่เข้ามาพูดคุยกับเราก่อนการจัดงานเสวนากฎหมายทรมานอุ้มหาย และไม่ได้ห้ามปรามในวันจัดงาน ต่อมาเป็นผู้มาแจ้งความดำเนินคดีผิด พ.ร.บ. ความสะอาด, พ.ร.บ. เครื่องเสียง, พ.ร.บ. จราจร น่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนากลั่นแกล้งประชาชน

ต่อมาส่งสำนวนสอบสวนให้อัยการ และอัยการก็สั่งฟ้องโดยไม่พิจารณาหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม จนทำให้วิทยากรที่ให้ความรู้ทางกฎหมายทั้งสองคนต้องตกเป็นจำเลย เสียเวลาที่หน่วยงานรัฐในกระบวนการยุติธรรม ต้องมาดำเนินคดีทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าเป็นการกลั่นแกล้ง นัดสืบพยานเป็นอีก 8 เดือนข้างหน้า เป็นเรื่องรกโรงรกศาล อยากให้ตำรวจพิจารณาถอนแจ้งความ หรืออัยการสูงสุดพิจารณาถอนฟ้อง เพราะคดีนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ สิ้นเปลืองงบประมาณและบุคคลกรในกระบวนการยุติธรรม”

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอให้สื่อมวลชนและสาธารณชน ร่วมกันติดตามนัดสืบพยานในคดีนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด และร่วมกันยืนยันว่าการแสดงออกทางความคิดเห็นเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงกระทำ และคดีนี้เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน