[:th]CrCF Logo[:]

พี่สาววันเฉลิม ขอพบเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย ถามความคืบหน้า กรณีวันเฉลิมฯ ถูกบังคับสูญหาย 2 ปีที่พนมเปญ

Share

นางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาววันเฉลิม พร้อมด้วยตัวแทน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เข้ายื่นหนังสือ และขอเข้าพบเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อพูดคุยสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมชาวไทยซึ่งสูญหาย ณ กรุงพนมเปญ

สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ได้เกิดเหตุการณ์การควบคุมตัวนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมประชาธิปไตย และผู้ลี้ภัยชาวไทย ถูกประทุษร้าย และบังคับสูญหายจากบริเวณที่พักใจกลางกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่พี่สาวของนายวันแฉลิมยังไม่ทราบความคืบหน้าทางคดี และยังไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษในความผิดได้

ในวันที่ 2 มิถุนายน 2565 เวลา 10.00 น. นางสาวสิตานัน พร้อมตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเตรียมเข้าพบเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อทวงถามเกี่ยวกับสำนวนการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา ประเทศกัมพูชาเป็นรัฐสมาชิกใน อนุสัญญาป้องกันไม่ให้บุคคลสูญหายขององค์การสหประชาชาติ จึงมีอำนาจหน้าที่ในการสืบค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบชะตากรรมของนายวันเฉลิม เนื่องจากมีการหายตัวไปในขณะที่เขาพักอาศัย และลี้ภัยในประเทศกัมพูชา

อีกทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้รวบรวมข้อร้องเรียนเร่งด่วนกรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้รับจากสมาชิกทั่วโลกที่ดำเนินการรณรงค์ขอความเป็นธรรมให้นายวันเฉลิม และครอบครัว หนังสือร้องเรียนเร่งด่วน (Urgent Action) จัดทำขึ้นโดยองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งจะมีการยื่นให้กับเอกอัครราชทูตกัมพูชาในวันดังกล่าวอีกด้วย

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชน และประชาชนที่สนใจ ติดตามรายละเอียดตามวัน และเวลาดังกล่าว เพื่อติดตามทวงถามความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเพื่อขับเคลื่อน และส่งเสียงความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้ร่าง พ.ร.บ. ป้องกัน และปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่ยืนยันสิทธิเสรีภาพในชีวิต และเนื้อตัวร่างกายที่ปลอดภัยจากการถูกทรมาน และบังคับสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือโดยการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐ อันถือเป็นอาชญากรรมขั้นร้ายแรง จะกระทำต่อบุคคลใดมิได้ต่อไป

[:]