ใบแจ้งข่าว ศาลจังหวัดปราจีนบุรีพิพากษารอลงอาญา 2 ปี ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานความผิดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อช่วยกลุ่มตำรวจที่ซ้อมทรมานนายฤทธิรงค์ฯ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ในฐานะโจทก์ที่ 1 และ นายสมศักดิ์ชื่นจิตร (บิดา) โจทก์ที่ 2 ได้ยื่นฟ้อง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งได้เป็นพยานให้การเท็จ ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซ้อมทรมานนายฤทธิรงค์ ในเรื่องที่ นายฤทธิรงค์ร้องเรียนกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี 5 คนว่าซ้อมทรมานตน โดยยื่นฟ้องต่อศาล จังหวัดปราจีนบุรี เป็นคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1009/2560 ในข้อหา ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และเป็นการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ ลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172 และ 267
เหตุที่นายฤทธิรงค์และบิดายื่นฟ้องคดีนี้เนื่องจาก เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนดังกล่าวได้เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ของป.ป.ท. ในฐานะพยาน ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อช่วยเหลือตำรวจทั้ง 5 ราย ให้พ้นข้อกล่าวหาเรื่องซ้อมทรมานนายฤทธิรงค์ และยังได้กล่าวให้ร้ายแก่นายฤทธิรงค์และนายสมศักดิ์ ทำให้นายฤทธิรงค์และนายสมศักดิ์ได้รับความเสียหายจากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว
โดยผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนดังกล่าวได้รับสารภาพผิดและศาลจังหวัดปราจีนบุรีได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ,172, 267ประกอบมาตรา 90 ให้ลงโทษฐานแจ้งข้อความให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกลงโทษมาก่อน จึงให้รอลงการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี คุมประพฤติ 6 เดือน ต่อครั้ง
โดยนายสมศักดิ์ ชื่นจิตร ได้แสดงความรู้สึกต่อคำพิพากษาต่อคดีครั้งนี้ว่า “ เราเคารพในคำพิพากษาของศาล แต่เรายังไม่เห็นพ้องกับโทษที่จำเลยได้รับ การกระทำของจำเลยที่ให้การเท็จต่อ ป.ป.ท.เพื่อปกป้องตำรวจที่จับกุมและซ้อมทรมานลูกชาย เป็นสิ่งที่กระทบกับเราและสังคมอย่างที่สุด เพราะการกล่าวอ้างและใส่ร้ายเราอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดีใดๆ ทั้งที่จำเลยเป็นถึงผู้บริหารหน่วยงานปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนย่อมต้องรู้ผิดรู้ชอบกว่าชาวบ้านและยังรู้ข้อกฎหมายเป็นอย่างดี ถ้าเราพิสูจน์ให้ศาลเชื่อไม่ได้ว่าเราถูกทำร้ายซ้อมทรมานในคดีที่เราฟ้องว่าตำรวจทำร้ายซ้อมทรมานให้รับสารภาพว่าไปวิ่งราวทรัพย์ สิ่งที่จะเกิดกับเรา คือ เราต้องถูกตำรวจฟ้องกลับและลูกชายอาจต้องไปติดคุกติดตะราง ส่วนผมก็ต้องถูกดำเนินคดีในการสร้างหลักฐานพยานเท็จ ให้ร้าย ฟ้องร้องตำรวจดังกล่าว ฉะนั้นการที่จำเลยถูกพิพากษาให้รอลงอาญาในครั้งนี้ จึงจะไม่สามารถทำให้จำเลยเข็ดหลาบในการกระทำดังกล่าวได้เลย เพราะจำเลยรับสารภาพไปโดยรู้อยู่แก่ใจในการกระทำผิดว่าถ้ารับสารภาพ อย่างดีก็แค่รอลงอาญา เพราะจำเลยรู้ดีในข้อกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตน โดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีใดๆ และไม่เกรงกลัวใดๆต่อกฎหมายและกติกาอยู่ร่วมกันขอสังคม จึงเป็นเหตุให้เราไม่เห็นพ้องในคำพิพากษานี้และต้องขออุทธรณ์ต่อศาลสูงต่อไป”