ภาพบรรยากาศงาน Women of the Deep south เมื่อวันที่19 ธันวาคม 2561 และบันทึกจากผู้ร่วมกิจกรรม
ห้อง SEA-Junction Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แน่นจริงๆแน่นทั้งคนแน่นทั้งประเด็น
ขออนุญาตนำบันทึกหนึ่งของฟารีดา ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่ง มาเผยแพร่โดยได้รับอนุญาตแล้ว เห็นว่าสะท้อนบรรยาการการฉายหนังและการสนทนาได้ดี ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ที่มาร่วมงานและบันทึกที่มีคุณค่า
“การพูดความจริงไม่สามารถช่วยอะไรได้ในกระบวนการยุติธรรม”
เสียงของ “เม๊าะซู” ฮานีละ ดือลามะ หนึ่งในบรรดาแม่ของผู้ต้องสงสัยคดีบูดู สะท้อนอะไรบ้างในกระบวนการยุติธรรมของรัฐไทย?
คนหนุ่ม 14 คนที่มีภูมิลำเนาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกกักตัวไว้ไต่สวนคดีซึ่งมี ‘บูดู’ เป็นของกลางในฐานะวัตถุต้องสงสัยใช้ประกอบระเบิด เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรมจองจำอิสรภาพของพวกเขามานานถึง 2 ปี จนบัดนี้คดียังไม่แล้วเสร็จ
ทุกเดือนครอบครัวของทั้ง 14 คนจะเดินทางจากจังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาฟังการพิจารณาคดีในชั้นศาล ซึ่งนอกจากค่าเดินทางแล้วยังจำเป็นต้องมีค่าที่พักและค่าอาหารด้วย ไม่มีอะไรฟรี
“หมดแล้วทุกอย่าง”
คำพูดของเม๊าะซูช่างบาดลึก ไม่ใช่แค่หมดเงินหมดทอง การเดินทางเข้ากรุงแต่ละครั้งคนต่างจังหวัดในฐานะญาติผู้ต้องสงสัยต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง?
แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปี พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังเดินทางมาพบหน้าทั้ง 14 คนทุกเดือน
.
.
.
เป็นเรื่องขำขื่นที่ขำไม่ออกว่า ‘บูดู’ จะเป็นสารตั้งต้นประกอบระเบิดไปได้อย่างไร
“ไม่ใช่เรื่องตลก” แม่พูดเมื่อฉันเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง
“ถ้า 14 คนนี้ไม่ผิด รัฐจะจ่ายเงินชดเชยที่กักขังอิสรภาพของพวกเขาเหล่านี้มั้ย?”
ประโยคคำถามของแม่แทงใจและชวนใจหายในเวลาเดียวกัน
ถ้าให้เม๊าะซูตอบ เธอคงจะพูดว่าสำหรับเธอแล้วเงินชดเชยใดใดอาจไม่สำคัญเท่าอิสรภาพของลูกชาย ขอเพียงลูกได้กลับบ้านและใช้ชีวิตปกติ
นึกไปถึงประโยคแรกๆ ของการเสวนา เธอพูดว่า…
“ถ้ามีใครสักคนเป็นคนผิด แม่คือคนผิดที่บังคับให้เขามาทำงานที่กรุงเทพฯ”
แม่ก็คือแม่ ยิ่งใหญ่ด้วยหัวใจของแม่เสมอ
.
.
.
ในงานฉายสารคดีสั้น 2 เรื่อง
เรื่องแรกฉายภาพครอบครัวมุสลิม แม่ที่รอลูกชายกลับบ้าน ความรู้สึกของคนในบ้านเมื่อลูกชาย 2 คนถูกเจ้าหน้าที่รัฐควบคุมตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
แม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะระบุสาเหตุในการจับกุมและควบคุมตัวผู้คนเสมอ แต่สาเหตุเหล่านั้นมักจะไม่ใช่สาเหตุที่แจ่มแจ้งและสมเหตุสมผลสำหรับคนในครอบครัว
อีกเรื่องฉายภาพเด็กสาวไทยพุทธที่สูญเสียคนในครอบครัวจากเหตุความรุนแรงในชายแดนใต้ ชีวิตที่เปลี่ยนไปเมื่อขาดเสาหลัก การปรับตัวและเรียนรู้วิถีมุสลิมจากเพื่อนในพื้นที่ปตานี และความหวังจะเห็นสังคมสงบสุข
.
.
.
บนเก้าอี้ข้างๆ เม๊าะซู
อาจารย์งามศุกร์ รัตนเสถียร พูดสั้นๆ แต่สรุปภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ไว้อย่างน่าสนใจว่า..
“หญิงมุสลิมในสารคดีเรื่องแรกเรียกร้องความยุติธรรม
เด็กสาวไทยพุทธในเรื่องที่สองเรียกร้องความสงบสุข ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกับภาครัฐ
แต่ความสงบสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่พูดถึงความยุติธรรม”
.
.
.
ใช่… พอถึงวันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้อยากพูดว่าใครผิดใครถูก เราแค่อยากได้ความยุติธรรมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม
19 ธันวา, กรุงเทพฯ 2561