เผยแพร่วันที่ 12 สิงหาคม 2561
แถลงการณ์
กรณีลอบสังหารแม่และลูก
ขอให้กลุ่มติดอาวุธยุติการสร้างความรุนแรงทุกรูปแบบ
ปกป้องคุ้มครองผู้บริสุทธ์สตรีและเด็กในสถานการณ์ความขัดแย้ง
เมื่อเวลาเช้าวันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2561 จากเหตุการณ์ที่มีบุคคลไม่ทราบฝ่ายได้ใช้อาวุธสังหารนางนิตยา แก่นเรือง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 339 หมู่ 6 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และ ด.ญ.อัจฉริยา แก่นเรือง อายุ 13 ปี บุตรสาวของนางนิตยา อย่างโหดร้าย โดยตามรายงานข่าวทั้งคู่มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 เข้าที่กกหูและลำตัว ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบหัวกระสุนปืนตกอยู่ 1 หัว เหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะขณะที่นางนิตยาและบุตรสาวประกอบกิจวัตรประจำวันโดยขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปจ่ายกับข้าวที่ตลาดนัดต้นไทร อ.บาเจาะ โดยมีบุตรสาวนั่งซ้อนท้ายไปด้วย เสร็จแล้วจึงพากันขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน แต่ระหว่างทางถูกคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ และใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงใส่สองแม่ลูกจนเสียชีวิต รถจักรยานยนต์เสียหลักตกข้างทาง โดยก่อนหลบหนีคนร้ายได้ชิงรถจักรยานยนต์ของสองแม่ลูกไปด้วย
ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และขอประนามคนร้ายที่ก่อเหตุใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างเจาะจงและต่อเป้าหมายอ่อนแออันถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงขัดกับกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศและหลักศีลธรรม ขอให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยยึดถือปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัดและห้ามซ้อมทรมาน ขอให้ประชาชนช่วยกันหาพยานหลักฐานแก่เจ้าหน้าที่และเป็นหูเป็นตาระมัดระวังไม่ให้คนร้ายสามารถก่อความรุนแรงได้อีกโดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางสตรีและเด็กชาวไทยพุทธที่อยู่อาศัยในพื้นที่ความขัดแย้งมักตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรง
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเชื่อว่าการชดใช้เยียวยาที่เหมาะสมพอเพียงจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางรุนแรงจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนที่เสียหายฟื้นฟูความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในเรื่องการค้นหาความจริงและไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวลพ้น รวมทั้งการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยผู้เสียหายและครอบครัวหรือชดใช้เยียวยาพวกเขา รวมทั้งการสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนไทยพุทธในพื้นที่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
อย่างไรดีการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีนั้น เจ้าหน้าที่จึงควรยึดถือปฏิบัตตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การจับตัวประชาชนที่บริสุทธิ์ โดยปราศจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดแล้วใช้การข่มขู่ ซ้อมทรมานให้รับสารภาพนั้น นอกจากไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษแล้ว ยังเท่ากับปล่อยให้คนร้ายที่แท้จริงพ้นผิดลอยนวล ไม่ได้รับการลงโทษและก่อความรุนแรงต่อประชาชนต่อไปได้อีก อีกทั้งการปราบปรามการก่อเหตุก็ไม่ใช่หนทางเดียวในการยุติความขัดแย้งทางอาวุธที่ยืดเยื้อยาวนาน
ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม โทร 02-1015481