[:th]CrCF Logo[:]
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้

ศาลแพ่ง สืบพยานโจทก์-จำเลย กรณีสิบโทกิตติกร สุธีรพันธุ์ ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตในเรือนจำทหาร

Share

ใบแจ้งข่าว ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์ จำเลย และนัดอ่านคำพิพากษา คดีนางบุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดาสิบโทกิตติกรฟ้องคดีแพ่งต่อกองทัพบก จากเหตุการณ์สิบเวรหรือผู้คุมเรือนจำ มทบ. 25 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรจนเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 6 – 8 ธันวาคม 2560 ศาลแพ่งนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย คดีคดีหมายเลขดำที่ พ.1131/2560 ซึ่งนางบุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดาสิบโทกิตติกร ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อกองทัพบกให้รับผิดกรณีละเมิดเป็นเหตุให้ สิบโทกิตติกร จนเสียชีวิต จากเหตุการณ์สิบเวรหรือผู้คุมเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 (มทบ. 25 ) กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรเสียชีวิตในเรือนจำทหาร จังหวัดสุรินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559

โดยในวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม 2560 ฝ่ายโจทก์นำพยานมาสืบต่อศาลรวม 4 ปาก ได้แก่ 1. รายงานและภาพถ่ายการชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุและขณะผ่าศพที่โรงพยาบาลสุรินทร์ พร้อมคำเบิกความในคดีไต่สวนการตาย ของแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ 2.นายทหารซึ่งเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกร 3.เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เขตพื้นที่ 3 และ 4. ตัวโจทก์ คือนางบุญเรืองฯ มารดาผู้ตาย โดยได้ความว่า ในวันเกิดเหตุผู้ตายถูกคุมพิเศษขณะปฏิบัติหน้าที่สิบเวรดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ มทบ.25 กับพวก ร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกร โดยอ้างว่าเป็นการฟื้นฟูวินัย จนเป็นเหตุให้สิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดมลฑลทหารบกที่ 25 หน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาของกองทัพบกจำเลยในคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีการทำร้ายร่างกายผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น ทาง มทบ.25 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และสอบวินัย ตลอดจนมีการลงโทษทางวินัยกับผู้บังคับเรือนจำ และผู้คุมที่กระทำความผิด อีกทั้งได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาผู้คุมกับพวกที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตาย จนกระทั่งพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ท. แล้ว และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เขต 3 ได้เบิกความต่อศาลว่าปัจจุบัน ป.ป.ท. อยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง และได้นำหลักฐานทั้งหมดที่ได้มาจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์เสนอต่อศาล

ส่วนนางบุญฯ มารดาผู้ตาย ขึ้นเบิกความต่อศาลได้ความว่า ก่อนผู้ตายเสียชีวิต ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวได้ส่งเสียเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ผู้ตายเป็นคนขยัน นอกจากรายได้จากราชการทหารแล้ว ยังใช้เวลาว่างจากงานราชการมาประกอบกิจการเปิดร้านค้าขายเสื้อผ้า และทำขนมขายส่ง ทั้งยังมีโครงการเตรียมจะปลูกข่าขายส่งอีกด้วย ภายหลังผู้ตายได้เสียชีวิตทำให้ตนได้รับความลำบาก และกิจการที่ผู้ตายได้ดำเนินการไว้ก่อนเสียชีวิตก็ต้องปิดตัวลงเนื่องด้วยนางบุญเรืองฯมีอายุมากขึ้นไม่สามารถดูแลกิจการที่ผู้ตายได้ทำไว้เพียงลำพัง ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุมีผู้หวังดีคอยเตือนให้ระมัดระวังตัวเพราะอาจมีบุคคลมาทำร้าย ด้วยความกลัวทำให้นางบุญเรืองฯไม่ได้ออกไปค้าขายอย่างที่เคยทำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางบุญเรืองฯได้รับความลำบากและขายรายได้ มีความเป็นอยู่ยากลำบาก

ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ฝ่ายจำเลยได้นำเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นอัยการผู้ช่วย มทบ.25 ผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกขึ้นเบิกความต่อศาล ได้ความว่า ตนได้รับมอบหมายให้มาดำเนินคดีแทนกองทัพบก จำเลย เรื่องการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกรมาภายหลังจากมีการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการทางวินัยต่อผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และตามรายงานที่ตนได้รับมา เห็นว่าการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกรแม้จะถูกทำให้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นบุคลากรในสังกัดของกองทัพบก แต่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้กระทำให้สิบโทกิตติกรเสียชีวิตด้วยเหตุส่วนตัว ประกอบกับไม่มีกฎหมายหรือพระราชบัญญัติใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น

ทั้งนี้ในคดีนี้ได้มีการไต่สวนการตายเป็นคดีหมายเลขดำที่ ช.1/2559โดยศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ว่า “ผู้ตายคือ สิบโทกิตติกร สุธีรพันธุ์ ตายที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559 เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายโดยพลอาสาสมัครสี่นาย (ปกปิดชื่อ) ร่วมกันทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย” อีกทั้งปรากฎในรายงานการผ่าศพของแพทย์พบว่าภายในศีรษะมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง สมองบวม บริเวณทรวงอกภายในมีกระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ บริเวณปอดมีรอยฟกช้ำที่กลีบปอดซ้าย บริเวณท้องมีของเหลวสีน้ำตาลอยู่ภายในช่องท้องประมาณ 200 มิลลิลิตร กระเพาะอาหารแตก และมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่บริเวณกลีบซ้ายของตับ โดยรายงานการชันสูตรพลิกศพสรุปว่าสาเหตุการตายเกิดจาก มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย โดยพลอาสาสมัครทั้งสี่นายได้การกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้สิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย อีกทั้งมีพลอาสาสมัครผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้คุมเรือนจำมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณเรือนจำที่ตนเป็นสิบเวรประจำวัน มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อหน่วยงานและบุคคลผู้ต้องขัง แต่ได้จงใจสั่งการและร่วมกันกับพลทหารผู้ช่วย ทำร้ายสิบโทกิตติกรฯ โดยทรมานและทารุณโหดร้าย และจงใจไม่แจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการบาดเจ็บของสิบโทกิตติกรฯ และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ มีพฤติการณ์ข่มขู่ไม่ให้ผู้ต้องขังที่อยู่ภายในห้องขังเดียวกันช่วยเหลือสิบโทกิตติกรฯ และได้สั่งผู้ต้องขังในห้องขังทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรฯ ที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นห้องหลายครั้งจนกระทั่งสิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย

ภายหลังคู่ความสืบพยานจนแล้วเสร็จทั้งสองฝ่าย ศาลจึงได้นัดหมายเพื่ออ่านและฟังคำพิพากษา ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 09.00. ณ ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก