ทุกวันนี้เวลาจะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่หมด แม้แต่การจัดกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นเรื่องการศึกษา ไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นการให้ความรู้แก่นักศึกษาเรื่องสิทธิและกฎหมายพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมและวิธีพิจารณาความอาญา เรื่องต่อต้านการซ้อมทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย แต่เจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งข้อจำกัดต่างๆหลายอย่าง บางเรื่องเช่นห้ามใช้คำพูดหยาบคาย สุ่มเสี่ยง อันนี้เราพอเข้าใจ แต่ไม่ให้มีช่วงถามตอบ อันนี้ไม่เข้าใจ
คือแม้เราทำงานมา แต่ก่อนที่จะเข้าใจประเด็นเราก็ต้องถามคนมีประสบการณ์ตั้งหลายครั้ง จึงรู้สึกอัดอั้นตันใจมากที่เราไม่สามารถมีช่วงถามตอบได้
แต่เราก็ยอมจัดงานต่อไปโดยไม่มีช่วงถามตอบเพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะยืนยันให้มีช่วงถามตอบแล้วถูกปิดเวทีทั้งหมด และทำให้อาจารย์ไม่สามารถจัดงานอื่นได้อีก
เราขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยทีมเราอย่างเต็มที่ในการที่จะเจรจากับเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถจัดเวทีได้ แม้อาจารย์จะสามารถยกเลิกการจัดงานได้ตั้งแต่ก่อนวันงานที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกพบตัว ทำให้เข้าใจว่าบางครั้งเราก็ต้องดูกำลังตัวเองและเลือกว่าเราจะสู้สงครามไหน เพราะเราคงไม่สามารถต่อสู้ได้ทุกเรื่องทุกประเด็น แต่สงครามยังไม่จบเราจะบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจให้นักศึกษาและคนทั่วไปต่อไปมันจะต้องได้ผลแม้ใช้เวลานาน
จะว่าไปก็ยังดีที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมากกว่า 10 คน ว่างานที่เราจัดคืองานเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบุคคลในคดีอาญา เราเอาหลักมาจากกฎหมายระหว่างประเทศ เราไม่ได้คิดกันขึ้นมาเอง และเป็นหลักการที่ประเทศไทยเราเนี่ยไปรับปากและสัญญาว่าจะทำตามข้อตกลงไว้ เห็นไหมคะเนี่ยสิทธิที่จะมีชีวิตในปฏิญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน อย่างน้อยเราก็ได้พูดกับเจ้าหน้าที่แบบได้สบตากันว่า ห้ามซ้อม ห้ามอุ้ม
ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะได้ยินที่เราพูดหรือเปล่าแต่เราก็ได้ทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดแล้ว
ตอนท้ายของการทำกิจกรรมดูหนังเรื่อง The Railway Man เจ้าหน้าที่สองคนที่นั่งสังเกตการณ์มาทั้งวันตาแดงๆเหมือนร้องไห้ หวังว่าเขาคงเข้าใจว่า ไม่ว่าจะคนที่ทำหรือคนที่ถูกกระทำเหตุการณ์มันจะติดอยู่ในใจเราไปตลอดชีวิต
จนกว่าเราจะได้จัดการกับมันอย่างถูกต้อง จะว่าไปเราก็ประสบผลสำเร็จแล้วแหล่ะแค่นี้