[:th]
การจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
1. หน่วยงานที่จัดตั้งคณะกรรมการนั้นควรเป็นหน่วยงานที่ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการใช้กำลังเพราะเป็นหน่วยงานที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการทำงานของคณะกรรมการโดยตรง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องความเป็นอิสระของคณะกรรมการ หน่วยงานที่จัดตั้งควรจะเป็นองค์กรรัฐฝ่ายพลเรือน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด อีกหน่วยงานหนึ่งที่มีความเหมาะสมในการดำเนินการในเรื่องนี้คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
2. ในการคัดเลือกกรรมการนั้นควรมีกระบวนการในการปรึกษาหารือกับผู้ได้รับผลกระทบหรือตัวแทนที่เขาไว้วางใจ รายชื่อกรรมการควรได้รับความเห็นชอบจากทั้งหน่วยงานที่จัดตั้งและผู้ได้รับผลกระทบทั้งนี้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อคณะกรรมการ
3. จำนวนของกรรมการควรจะน้อยลง โดยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-7 คน โดยเน้นการคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และสาธารณะชนทั่วไปและควรมีการแต่งตั้งกองเลขานุการอีกส่วนหนึ่ง กรรมการนั้นไม่ควรมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเพราะอาจทำให้ผู้ให้ข้อมูลบางรายหวาดกลัวที่จะเปิดเผยข้อมูลซึ่งอาจจะนำอันตรายมาสู่ตนเอง กรรมการไม่ควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีนั้นๆ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในอำเภอที่เกิดเหตุ หรือทนายความของผู้ได้รับผลกระทบในกรรีนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนและเพื่อให้สามารถที่พิจารณาประเด็นได้อย่างเป็นกลางมากที่สุด เจ้าหน้าที่ความมั่นคงจะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล เมื่อมีการร้องขอจากคณะกรรมการเท่านั้น
4. ควรจัดทำรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถในการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้ โดยติดต่อเพื่อขอความยินยอมในหลักการและขอรายละเอียดการติดต่อไว้ก่อน เช่นอดีตข้าราชการระดับสูง นักวิชาการหรือนักวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้นำราชชื่อจากหลักฐานข้อมูลนี้มาพิจารณาว่าผุ้ใดมีความพร้อม เหมาะสมและยินดีที่จะช่วยดำเนินการการตรวจสอบข้อเท็จจริง
5. ควรกำหนดกรอบเวลาการทำงานให้อยู่ระหว่าง 30-90 วันตามระเบียบของราชการ อาจจะกำหนดไว้เบื้องต้นที่ 30 วันและให้ขยายเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้ง โดยควรจะตกลงกับผู้ที่รับเป็นกรรมการให้ชัดเจนว่าเขาจะต้องมีเวลาในการทำงานนี้ได้มากพอสมควร ในส่วนของเจ้าหน้าที่กองเลขานุการนั้นอาจกำหนดให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจำนวนหนึ่งรับผิดชอบงานนี้แบบเต็มเวลาภายในกรอบเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
6. ควรกำหนดงบประมาณและทรัพยากรสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการอย่างเพียงพอ ซึ่งควรรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าตอบแทนสำหรับกรรมการในการลงพื้นที่เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงด้วย
การดำเนินการของคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง
1. ควรจัดให้มีการอบรมกรรมการและ/หรือเจ้าหน้าที่ในเรื่องการประเมินแหล่งข้อมูล การเก็บ จด บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการเขียนรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงให้มีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ควรจะมีการอบรมความรู้ที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง เช่น เรื่อง “กฎการปะทะ” ของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง เรื่องกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เช่นอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT)
2. เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ ควรจะพัฒนาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นสถาบันอิสระที่ทำงานอย่างมีมาตรฐานทางวิชาชีพที่รองรับการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มาจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ โดยอาจให้มีคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแทนภาคประชาชน ผู้นำศาสนาและนักวิชาการที่ได้รับความยอมรับเป็นบอร์ดที่ปรึกษา
3. การสื่อสารกับครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก สมาชิกครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบควรจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์การประชุมแต่ไม่ควรทำหน้าที่เป็นกรรมการโดยตรงเพราะนับว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
4. การเก็บข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนควรเลือกใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบปิดลับ โดยไม่เปิดเผยชื่อผู้ที่ให้ข้อมูล ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องพยานแต่ในขณะเดียวกัน ควรตรวจสอบและระบุในรายงานว่าแหล่งข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือเพียงใด ข้อมูลที่เก็บควรเป็นข้อมูลชั้นต้นมากกว่าข้อมูลที่ได้รับฟังมาอีกต่อหนึ่ง
ผลสรุปของคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการรณรงค์สืบเนื่อง
1. ในการเขียนรายงานควรจะระบุถึงการจัดตั้งคณะกรรมการ อำนาจหน้าที่ กระบวนการทำงาน การยืนยันความเป็นอิสระในการทำงานและระบุถึงอุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆ ในการทำงาน ก่อนที่จะอธิบายถึงข้อค้นพบและข้อสรุปของคณะกรรมการ
2. ควรจะมีการเผยแพร่รายงานผลสรุปอย่างเป็นทางการโดยการจัดแถลงข่าว ทั้งนี้เพื่อให้กรณีดังกล่าวเป็นบทเรียนสำหรับสาธารณะชนและเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอนาคต
3. คณะกรรมการควรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อป้องกันมิให้การกระทำผิดหรือความผิดพลาดในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยระบุอย่างชัดเจนว่าหน่วยงานใดควรจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการดังกล่าว และอาจจะรวมถึงการณรงค์และวางมาตรการติดตามเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนั้นบรรลุผล
4. ควรทบทวนหลักเกณฑ์ในการเยียวยาใหม่ทั้งระบบให้มีความสมดุลกันระหว่างผู้ได้รับผลกระทบในแต่ละประเภท การกำหนดอัตราค่าชดเชยเยียวยาที่มีความแตกต่างกันสูงอาจสร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมทับซ้อนขึ้นไปอีก นอกจากนี้อาจจะมีการวางหลักเกณฑ์ในการแบ่งค่าเยียวยาในกรณีผู้เสียชีวิติด้วยเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัว นอกเหนือจากการเยียวยาเป็นเงินก้อนแล้ว อาจจะมีการวางหลักเกณฑ์การเยียวยาที่คำนึกถึงความต้องการพื้นฐานของแต่ละครอบครัวด้วย เช่น เรื่องการศึกษาบุตร เรื่องกาประกอบอาชีพ การเยียวยาทางจิตใจ
5. แม้ว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะเป็นกลไกที่แยกออกมาจากกระบวนการยุติธรรม แต่ควรจะมีการนำผลสรุปไปใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมปกติ โดยเฉพาะในกรรีที่รู้ตัวผู้กระทำผิดชัดเจนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อขจัดวัฒนธรรมการไม่ลงโทษผู้กระทำผิด (impunity) นอกจากนี้ ถ้าหากว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดนั้นเป็น “เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน” ซึ่งรวมถึงตำรวจออกนอกพื้นที่ หากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ควรส่งรายงานสรุปของคณะกรรมการไปยังหน่วยทหารต้นสังกัด ย้ายเจ้าหน้าที่ผู้นั้นออก
6. ควรพิจารณาเรื่องการจัดเก็บข้อมูลที่ได้มาจากการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาวิจัยหรือการกำหนดนโยบายต่างๆ ต่อไปในอนาคต
ที่มา: สรุปจาก “เมื่อความจริงคือจุดเริ่มของความเป็นธรรม กรณีศึกษาคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในบริบทความขัดแย้งชายแดนใต้ โดยรุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช.
[:]