ใบแจ้งข่าว บิดาเบิกความต่อศาลแฉเรื่องตำรวจสร้างพยานเท็จ กรณีตำรวจทำร้ายทรมานลูกชาย
ศาลจังหวัดปราจีนบุรีไต่สวนมูลฟ้อง คดีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ฟ้องตำรวจปราจีนบุรี 7 นาย
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2559 ศาลจังหวัดปราจีนบุรีออกนั่งพิจารณาไต่สวนมูลสวนฟ้องนัดที่ 7 คดีอาญา หมายเลขดำที่ อ.925/2558 กรณีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจ 7 นาย ได้แก่ พนักงานตำรวจสภ.เมืองปราจีนบุรี 2 นาย และพนักงานตำรวจกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี 5 นาย โดยนายฤทธิรงค์กล่าวหาว่า ถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวโดยมิชอบและนำตัวไปทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดีซึ่งตนไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด
โดยในวันดังกล่าว นายสมศักดิ์ ชื่นจิตร บิดาของนายฤทธิรงค์ฯ เบิกความตอบคำถามทนายความโจทก์ ต่อจากนัดที่ผ่านมา (วันที่ 26 กันยายน 2559) ได้ความว่า หลังจากวันเกิดเหตุ (28 มกราคม 2552) ที่ลูกชายของตนถูกทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ซึ่งลูกชายไม่ได้กระทำความผิด โดยเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี ควบคุมตัวนายฤทธิรงค์ฯ ไปให้ผู้เสียหายชี้ตัวที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี โดยมิชอบ และส่งตัวนายฤทธิรงค์ฯให้พนักงานตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ภ.จว.ปราจีนบุรี แล้วนายฤทธิรงค์ฯ ถูกทำร้ายร่างกายโดยทรมานให้รับสารภาพ ประมาณ 1 ปีต่อมา (พ.ศ. 2553) ตนได้รับการติดต่อจากผู้บริหารระดับสูงของเทศบาลบ้านสร้าง ให้ไปที่พบสำนักงานเทศบาลเมืองปราจีนบุรี และพบปะพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานตำรวจจังหวัดปราจีนบุรี เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยคดีนี้ และผู้บริหารระดับสูงของเทศบาลเมืองปราจีนบุรี
โดยบุคคลเหล่านั้นพยายามเกลี้ยกล่อมให้ตนหยุดเรียกร้องตามหน่วยงานต่างๆ ที่ไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย ดังนั้นเพื่อเป็นหลักฐานป้องกันตัวว่าตนไม่ได้ไปพบเพื่อเรียกร้องเงินใด ๆ กับเจ้าพนักงานตำรวจที่ซ้อมทำร้ายลูกของตน จึงได้ติดกล้องกระดุมบันทึกบทสนทนาเป็นวีดิโอไว้ รายละเอียดตามที่นำส่ง VCD ต่อศาล ซึ่งข้อเท็จจริงตามวีดิโอดังกล่าวตนได้พูดชัดเจนว่าที่มาพบนี้ไม่ได้มาเพื่อเรียกร้องเงินทองใด ๆ แต่ต้องการให้มีการดำเนินคดีให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมกับตำรวจผู้ที่ซ้อมทำร้ายลูกของตน เพราะนานนับปีแล้วลูกของตนก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายสมศักดิ์ฯ เบิกความต่อศาล ชี้ถึงถ้อยคำอันเป็นเท็จของพยานบุคคลหลายปากที่ไปให้การต่อ ป.ป.ท. เพื่อช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจในการบิดเบือนความจริง เช่น คำให้การใส่ความว่าตนไปพบพูดคุยกับบุคคลดังกล่าวข้างต้นโดยเรียกร้องเงินกับกลุ่มตำรวจที่อ้างว่าทำร้ายลูกชาย ซี่งขัดต่อภาพและเสียงที่ตนบันทึกไว้ คำให้การที่ว่าไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจนายหนึ่งซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ไปร่วมพูดคุยด้วย แต่ปรากฏภาพและเสียงชัดเจนพูดถึงการวิ่งเต้นในขั้นตอนต่างๆ ซึ่งขัดต่อภาพและเสียงที่ตนบันทึกไว้อย่างชัดเจน
นายสมศักดิ์ฯ ยังได้เบิกความต่อศาลอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนมีโอกาสได้ไปพบปะพูดคุยกับพยานบางคนที่ให้การกับ ป.ป.ท. โดยพยานคนที่ตนได้ไปพบปะพูดคุยด้วยยืนยันว่า ที่ได้ให้การไว้ต่อ ป.ป.ท. ว่าได้อยู่ในที่ห้องที่เกิดเหตุขณะที่นายฤทธิรงค์ฯ ถูกควบคุมตัวที่กองกำกับการสืบสวน ภ.จว.ปราจีนบุรีแต่ไม่มีเหตุการณ์เจ้าพนักงานตำรวจร่วมกันทำร้ายร่างกายนายฤทธิรงค์ นั้น เป็นการอุปโลกน์สร้างเรื่องขึ้น แล้วให้การเป็นเท็จต่อ ป.ป.ท. เพื่อช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งความจริงแล้วตนไม่ได้รู้เรื่องเหตุการณ์ใด ๆ เลย เพราะวันดังกล่าวพยานอยู่ที่บ้าน รวมทั้งลูกเขยของพยานที่ไปให้การกับ ป.ป.ท. ก็ให้การเท็จเช่นเดียวกัน แต่ที่ต้องไปให้การต่อ ป.ป.ท. นั้น เพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจคนหนึ่งที่รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว (เป็นจำเลยคนหนึ่งในคดีนี้) ได้ขอให้ไปเป็นพยานอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือราชการตำรวจ และที่พยานคนดังกล่าวเซ็นเอกสารคำให้การก็ไม่ได้อ่านเนื้อหาใด ๆ เพราะเชื่อใจเจ้าพนักงานตำรวจนายนั้น
พยานคนดังกล่าวยังได้ยืนยันกับนายสมศักดิ์ฯ ถึงบุคคลอีกหลายคนที่ไปเป็นพยานเท็จให้การต่อ ป.ป.ท. เพื่อช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจ และยังได้พูดกับนายสมศักดิ์ฯ ด้วยว่า ต่อมาภายหลังจึงได้ทราบว่าที่ไปให้การเท็จต่อ ป.ป.ท. นั้น เป็นการใส่ร้ายเด็กเยาวชนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็รู้สึกเสียใจ แต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากนายสมศักดิ์ฯ จะนำเรื่องการเป็นพยานเท็จตามที่พูดคุยกัน ไปเบิกความต่อศาล ตนก็ไม่ขัดข้องที่นายสมศักดิ์ฯ จะได้นำความจริงดังกล่าวไปเปิดเผยในคดีของลูกชาย
นอกจากนั้น นายสมศักดิ์ฯ ยังได้เบิกความต่อศาลชี้ถึงถ้อยคำอันเป็นเท็จของพยานแต่ละคน ที่ไปให้การต่อ ป.ป.ท. บิดเบือนความจริงเพื่อช่วยเหลือกลุ่มตำรวจที่ทำร้ายนายฤทธิรงค์ และนายสมศักดิ์ฯ ได้เบิกความต่อศาล ว่าตนใช้เวลานานหลายปีดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ลูกชายของตนต่อหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดให้ความช่วยเหลือต่อกรณีลูกชายตนอย่างจริงจัง ไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ทำร้ายลูกของตน จนเป็นเหตุให้ตนกับลูกชายต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเองโดยความช่วยเหลือของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ได้จัดหาทนายความมาช่วยในการดำเนินคดีนี้
นายสมศักดิ์ฯ ได้เบิกความจนจบคำซักถามของทนายความโจทก์แล้ว แต่เนื่องด้วยพนักงานอัยการทนายความจำเลยทั้งเจ็ด ประสงค์จะถามค้านนายสมศักดิ์ฯ มากพอสมควร จึงแถลงต่อศาลขอถามค้านในนัดหน้า และเนื่องจากใกล้จะหมดเวลาราชการด้วย ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปถามค้านนัดหน้า ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2559 เวลา 13.30น.
ติดตามเรื่องราวที่ผ่านมาได้ที่ https://crcfthailand.org/2016/09/28/บิดาขึ้นเบิกความเหตุกา/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- นายปรีดา นาคผิว ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โทร 098-6222474
- นายสัญญา เอียดจงดี ทนายความ โทร 087-5894884