เผยแพร่วันที่ 29 มิถุนายน 2558
จดหมายเปิดผนึก ขอให้ตรวจสอบการขอออกหมายค้นรถยนต์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2558 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ได้ขออนุญาตออกหมายค้นรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 9966 ยโสธรของนางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความของผู้ต้องหาที่เป็นนักศึกษา 14 คนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ 3/2558 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ประกอบมาตรา 83
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เห็นว่าตามหลักการในทางสากลและตามหลักการปฏิบัติหน้าที่ทนายความนั้น ย่อมได้รับการคุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ทนายความดังที่กำหนดไว้ในการทำหน้าที่ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ซึ่งมีสาระสำคัญตามข้อ 11 และข้อ 12 ว่า ห้ามเปิดเผยความลับของลูกความที่ได้รู้ในหน้าที่ของทนายความ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากลูกความนั้นแล้ว หรือโดยอำนาจศาล และห้ามกระทำการอันอาจทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของลูกความ ซึ่งออกตามความในมาตรา 27(3)(จ) และมาตรา 51 และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528
ด้วยเหตุดังกล่าว ในกระบวนการขั้นตอนการขอออกหมายค้นของพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจำเป็นต้องให้ข้อมูลต่อศาลว่าเป็นการขอออกหมายเพื่อค้นรถยนต์ของทนายความผู้ต้องหา ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลมีข้อมูลดังกล่าวประกอบการตรวจสอบการขอออกหมายค้นของพนักงานสอบสวน ตามระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับและหมายค้นในคดีอาญา พ.ศ.2545 ข้อ 18 ซึ่งระบุว่า “ในกรณีที่การจับหรือการค้นมิอาจจะกระทำได้เพราะมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นให้เอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันแก่บุคคลหรือสถานที่ใดไว้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการนั้น” ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ทนายความย่อมได้รับความคุ้มครองตามระเบียบข้าราชการตุลาการฯ ข้อ 18 ดังกล่าวด้วย
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) จึงเห็นว่าเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องแจ้งข้อมูลต่อศาลว่าเป็นการขอออกหมายค้นเพื่อค้นรถยนต์ของทนายความ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสำคัญเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ออกหมายค้น หากไม่มีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ศาลทราบ อาจมีผลให้การออกหมายค้นดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย สิ่งของใดๆ ที่ได้มาจากการค้นย่อมไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นการคุ้มครองความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความโดยไม่ถูกคุกคามจากอำนาจใดๆ ถือเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมต่อไป
ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)