มีเพียงความหวาดกลัวว่าเช้าวันนี้ตนเองผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวจะถูกฆ่าตายในระหว่างทางหรือไม่ แม้แต่บรรยากาศระหว่างชาวไทยพุทธ กับชาวมลายูมุสลิมที่เคยผูกพันอันดีต่อกันมาช้านานก็กลับต้องถูกแทนที่ด้วยแรงกดทับหนาหนักของความหวาดระแวง เพราะในแต่ละวัน ไม่เพียงประชาชนผู้บริสุทธิ์เท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อสังเวยชีวิต หากทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ครู รวมถึงพระสงฆ์ และโต๊ะอิหม่ามต่างก็ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
แม้กระทั่งไม่นานมานี้ กรณีวิสามัญผู้ลอบโจมตีฐานกองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 32 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส จนเสียชีวิตทั้ง 16 คน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก็คืออีกหนึ่งประจักษ์พยานสำคัญของสถานการณ์ความรุนแรงที่ผลักให้เกิดการตอบโต้ เผชิญหน้าและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสังคมไทย เนื่องด้วยทุกชีวิตที่ดับสูญไปตลอดระยะเวลา 9 ปี ก็ล้วนเป็นลูกหลานไทยทั้งสิ้น
โดยเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงอีกด้านระบุว่า หนึ่งในผู้ที่ลอบโจมตีฐานปฏิบัติการ และถูกวิสามัญนั้น คือเหยื่อในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 อันเป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์บาดแผล ที่ตราบจนวันนี้ รัฐไทย และกระบวนการทางกฏหมายของไทยก็มิสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับผู้สั่งสลายการชุมนุมได้เลย
ทั้งที่รายงานข้อเท็จจริงหลายฉับทั้งจากคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา และรายงานการสังเกตุการณ์คดีโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน ต่างก็มีหลักฐานพยานแน่ชัดว่าเป็นการกระทำโดยจงใจของเจ้าหน้าที่รัฐจนทำให้เกิดการเสียชีวิต และมีบุคคลสูญหายในเหตุการณ์นี้เป็นจำนวนมาก
เมื่อพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเต็มไปด้วยการกระทำนอกกรอบกฏหมาย อีกทั้งรากเหง้าแท้จริงของปัญหายังคงถูกบดบังด้วยบริบทซับซ้อนจนยากจะคลี่คลาย “กระบวนการยุติธรรมอันเที่ยงตรง และมีประสิทธิภาพ” จึงสมควรต้องเป็น ‘หลังพิง’ และ ‘เครื่องมือ’ สำคัญในการสะสางปมที่ถูกผูกไขว้จนกลายเป็น ‘เงื่อน’ ร้อยรัดผู้คนให้ติดอยู่ในวังวนแห่งการทำลายล้างอย่างไม่รู้จบสิ้น
ทั้งเพื่อปิดหนทางมิให้ผู้ที่มีผลประโยชน์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสถานการณ์ความไม่สงบ ฉวยโอกาสนำเอาวาทกรรม ‘ความไม่เป็นธรรม’ มาเป็นข้ออ้างแสวงหาแนวร่วมหรือปลุกระดมให้เกิดการก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ทว่า ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา กฏหมายพิเศษหลายฉบับซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ไม่สามารถยุติความรุนแรงได้เลย มิหนำซ้ำ บ่อยครั้งการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบก็กลับกลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญอันนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายเสียเอง
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จึงว่าด้วยเรื่องราวของความพยายามผลักดันสันติภาพให้บังเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ผ่านการต่อสู้กับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยกระบวนการทางกฏหมาย โดยไม่ละทิ้งต่อการทำความเข้าใจในบริบทอื่นๆ ทางสังคม และวัฒนธรรม
ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้คดีความต่างๆ ถูกหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา เป็นบรรทัดฐานและเป็นบทเรียนที่ทุกองคาพยพซึ่งเกี่ยวข้องรวมทั้งผู้คนในทุกภาคส่วนของสังคมควรได้เรียนรู้ร่วมกัน ว่าตราบใดที่กระบวนการยุติธรรมเองยังมีบางขั้นตอนอันอ่อนด้อย ห่างไกลและซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนจะเอื้อมถึง ทั้งกฏหมายต่างๆ ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ซึ่งเอื้อให้เกิดการใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตราบนั้น การกระทำ ‘นอกกฏหมาย’ ทุกรูปแบบย่อมไม่มีวันจบสิ้นลงได้เลย
เหล่านี้เองคือปฐมเหตุอันใหญ่หลวงที่ผลักดันให้เกิด ‘โครงการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้’ โดยความร่วมมือของเครือข่ายพันธมิตรอันแข็งแกร่ง ได้แก่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation-CrCF) มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (Muslim Attorney Center Foundation-MAC) ร่วมด้วยเหล่านักกฏหมาย ทนายความ ผู้ช่วยทนายความ และอาสาสมัครในพื้นที่ซึ่งพร้อมนำความรู้ความสามารถที่มีมาร่วมตรวจสอบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้