[:th]ศาลแพ่งนัดประชุมการไกล่เกลี่ย ในคดีพลทหารวิเชียร เผือกสม ถูกครูฝึกหน่วยฝึกทหารใหม่ซ้อม ทำร้ายร่างกาย จนเสียชีวิต[:]

ศาลแพ่งนัดไกล่เกลี่ย คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม ถูกครูฝึกทหารซ้อม ทำร้ายจนเสียชีวิต

Share

วันนี้ เวลา 9.00 น. ศาลแพ่งนัดประชุมการไกล่เกลี่ย คดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่ พลทหารวิเชียร เผือกสม ถูกครูฝึกหน่วยฝึกทหารใหม่ อำเภอเจาะไอร้อง  จังหวัดนราธิวาส ลงโทษด้วยวิธีการซ้อมทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้พลทหารวิเชียรถึงแก่ความตาย โดยมีนางประเทือง เผือกสม มารดาของพลทหารวิเชียร เผือกสม โจทก์ ผู้แทนของกองทัพบก จำเลยที่ 2 และผู้แทนของสำนักนายกรัฐมนตรี (กอ.รมน.) จำเลยที่ 3 มาศาล

จากการประชุมไกล่เกลี่ย คดีมีแนวทางตกลงกันได้ในการเยียวยาความเสียหายแก่โจทก์ แต่ผู้แทนของจำเลยขออนุญาตนำข้อเสนอของโจทก์ เสนอต่อหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติ  ซึ่งต้องใช้เวลา  ศาลจึงให้เลื่อนการประชุมไกล่เกลี่ยไปอีกหนึ่งนัด ในวันที่ 13 ธันวาคม 2555 เวลา 9.00 น.

ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุและศึกษาจนจบชั้นปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผลการเรียนเกียตินิยมอันดับ 1  และสำเร็จระดับปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลการเรียนดีเยี่ยม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 พลทหารวิเชียรได้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่  ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  อำเภอเจาะไอร้อง  จังหวัดนราธิวาส  ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2554  เจ้าหน้าที่ทหาร  10  นาย  ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร โดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย  โดยอ้างว่าพลทหารวิเชียร  เผือกสม  หลบหนีการฝึก  ทำให้พลทหารวิเชียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส  และได้เสียชีวิตในวันที่ 5  มิถุนายน 2554  โดยสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

ทั้งนี้  ในส่วนของคดีอาญาที่นางประเทืองได้แจ้งความดำเนินคดี กับครูฝึกทหารใหม่ และทหารที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร จนถึงแก่ความตายต่อพนักงานสอบสวนในทองที่เกิดเหตุแล้ว  ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ของกระทรวงยุติธรรม แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

การลงโทษโดยทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย นอกจากจะเป็นความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งแล้ว  ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง  ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ม. 32 ว่าด้วยสิทธิ และเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล และละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและมีพันธกรณีให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าวด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
– นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ สภาทนายความ 02 282 9906
– นางสาวภาวิณี ชุมศรี ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม 02-6934939

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading